สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% เมื่อคืนนี้ (1 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าความต้องการพลังงานทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้น หลังจากสหรัฐและจีนเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่ขยายตัวได้ดีเกินคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับปัญหนี้สาธารณะในยุโรป
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 2.64 ดอลลาร์ หรือ 3.1% แตะที่ระดับ 86.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 11.36 เซนต์ ปิดที่ 2.3004 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 8.12 เซนต์ ปิดที่ 2.4506 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 3.42 ดอลลาร์ ปิดที่ 88.87 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบเพราะมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะช่วยให้ความต้องการพลังงานดีดตัวขึ้นด้วย โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐในเดือนพ.ย.ขยายตัวสู่ระดับ 56.6 จุด ทำสถิติขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 16 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 54.8 จุด เพราะได้แรงหนุนจากยอดการนำเข้าและส่งออกสินค้าในภาคการผลิตที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขยายตัวในอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
ขณะที่สมาพันธ์โลจิสติกและการจัดซื้อแห่งชาติของจีน (CFLP) เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 55.2 จุด เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนต.ค.ที่ระดับ 54.7 จุด บ่งชี้ว่าภาคการผลิตมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และนับเป็นเดือนที่ 21 ติดต่อกันที่ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนขยายตัวเหนือระดับ 50 จุด
นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สาธารณะของยุโรป หลังจากนายฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรปที่ออกมาเรียกร้องให้ธนาคารพาณิชย์ซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลในกลุ่มยุโรป ซึ่งทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า ธนาคารลางยุโรปอาจเตรียมมาตรการลดผลกระทบที่เกิดจากปัญหาหนี้สาธารณะ หลังจากปัญหาดังกล่าวได้ฉุดตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงติดต่อกันหลายวัน และยังส่งผลให้ต้นทุนการรับประกันการผิดนัดชำระหนี้พันธบัตร (credit-default swaps) ของรัฐบาลเบลเยี่ยมพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วย
ทั้งนี้ นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ แม้มีปัจจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 26 พ.ย.พุ่งขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล แตะที่ 359.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล แตะที่ 210.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันกลั่น ซึ่งรวมถึงเชื้อเพลิงดีเซลและฮีทติ้งออยล์ ลดลง 200,000 บาร์เรล แตะที่ 158.1 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนยังติดตามการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ในเดือนนี้ที่ประเทศเอกวาดอร์ พร้อมกับจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดทำสัญญาซื้อบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนต.ค. ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ย. และดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย.