สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (13 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยว่าจำนวนคนว่างงานสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลบดบังปัจจัยบวกจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 46 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 91.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 90.91 - 92.37 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.พ.ลดลง 0.95 เซนต์ ปิดที่ 2.6091 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 1.72 เซนต์ ปิดที่ 2.4459 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ.ลดลง 6 เซนต์ ปิดที่ 98.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในช่วงแรกนั้น สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร อันเนื่องมาจากข่าวรัฐบาลสเปนสามารถขายพันธบัตรอายุ 5 ปีมูลค่า 3 พันล้านยูโร (3.9 พันล้านดอลลาร์) ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าตลาดรอง ในขณะที่รัฐบาลอิตาลีก็ประสบความสำเร็จในการขายพันธบัตรเช่นกัน
แต่สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงเนื่องข้อมูลที่อ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการระหว่างว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 8 ม.ค. พุ่งขึ้น 35,000 ราย แตะระดับ 445,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน สวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 405,000 ราย
ส่วนจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานโดยเฉลี่ย 4 สัปดาห์ เพิ่มขึ้น 5,500 ราย แตะระดับ 416,500 ราย สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดแรงงานสหรัฐยังคงอ่อนแอ แม้เศรษฐกิจส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวแล้วก็ตาม
นักวิเคราะห์จากเอ็มเอฟ โกลบอล กล่าวว่า ปัจจัยอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์และอุปทานเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับราคาน้ำมันมากขึ้น ซึ่งรวมถึงความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์ที่มีส่วนอย่างมากต่อทิศทางราคาน้ำมันในขณะนี้
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.1% ซึ่งเป็นสถิติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี เนื่องจากต้นทุนราคาพลังงานและอาหารเพิ่มขึ้น