สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง รวมถึงผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและยอดค้าปลีกเดือนธ.ค. ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดว่า ภาวะเศรษฐกิจที่สดใสขึ้นจะช่วยหนุนอุปสงค์พลังงานให้เพิ่มขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 91.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 3.61 เซนต์ ปิดที่ 2.6452 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.พ.เพิ่มขึ้น 4.87 เซนต์ ปิดที่ 2.4946 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่งขึ้น 62 เซนต์ หรือ0.6% ปิดที่ 98.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงเช้านั้น สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวลดลงหลังจากธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มสัดส่วนการกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.50% เมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการปรับขึ้นเป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ต้นปี 2552 โดยมีเป้าหมายที่จะดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกจากระบบเศรษฐกิจ หลังจากอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น 5.1% ในเดือนพ.ย.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 28 เดือนเมื่อเทียบรายปี แต่การดำเนินการดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า อาจจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้น้ำมันรายใหญ่ของโลก
แต่หลังจากสัญญาน้ำมันดิบเริ่มดีดตัวขึ้นและสามารถปิดในแดนบวกได้ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค. ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังคงฟื้นตัว
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% ทำสถิติเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 ส่วนยอดค้าปลีกตลอดปี 2553 พุ่งขึ้น 6.65% สวนทางกับยอดค้าปลีกในปี 2552 ที่หดตัวลง 6.5%
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึงนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนลีย์ คาดว่า ราคาน้ำมันดิบจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในปีนี้ เนื่องจากความต้องการน้ำมันดิบในสหรัฐและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ยังคงมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น