สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดทะยานขึ้นกว่า 4% เมื่อคืนนี้ (28 ม.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากเหตุการณ์จลาจลในอียิปต์ ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ชาวอียิปต์จำนวนลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค นอกจากนี้ เหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศอื่นๆของตะวันออกกลาง รวมถึงตูนิเซีย และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4 ที่ขยายตัวแข็งแกร่งของสหรัฐ ยังเป็นอีกปัจจัยที่หนุนสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 3.70 ดอลลาร์ หรือ 4.3% ปิดที่ 89.34 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยในระหว่างวัน สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นไปแตะระดับสูงสุดที่ 89.73 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 3.9 เซนต์ ปิดที่ 2.6942 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 7.27 เซนต์ ปิดที่ 2.4859 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 2.03 ดอลลาร์ ปิดที่ 99.42 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นกว่า 2% หลังจากตลาดเปิดทำการได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หลังจากทำเนียบขาวได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงในอียิปต์ โดยรัฐบาลสหรัฐได้แนะนำให้ชาวอเมริกันหลีกเลี่ยงการเดินทางไปอียิปต์โดยไม่จำเป็น นอกจากนี้มีรายงานว่า สายการบินจำนวนมากได้ยกเลิกเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกในอียิปต์
นักลงทุนกระหน่ำขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง รวมถึงหุ้น และแห่เข้าซื้อสัญญาสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า รวมถึงทองคำและน้ำมันดิบเพื่อปกป้องความเสี่ยง หลังจากมีรายงานว่า ผู้ประท้วงนับแสนคนในอียิปต์ได้พากันออกมารวมตัวกันตามท้องถนนสายต่างๆในกรุงไคไรและเมืองใหญ่อื่นๆทั่วประเทศ รวมทั้งเมืองสุเอซ อัสวาน มันซูรา และอเล็กซานเดรีย เพื่อขับไล่ประธานาธิบดีมูบารัค ซึ่งทำให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กองกำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์และสลายการชุมนุมโดยใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง จนเป็นเหตุให้เกิดการปะทะกันรุนแรงและทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
ทั้งนี้ อียิปต์เป็นศูนย์กลางการขนส่งน้ำมันดิบผ่านคลองสุเอซในปริมาณสูงถึง 1 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งสถานการณ์รุนแรงครั้งนี้ทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการจัดหาน้ำมันในยุโรปและภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้ ตลาดยังวิตกกังวลว่าเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยจะลุกลามไปประเทศอื่นในอาหรับ จากปัจจุบันที่เกิดขึ้นในตูนิเซีย เยเมน และจอร์แดน
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังดีดตัวขึ้นขานรับรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4 ปี 2553 ขยายตัวในอัตรา 3.2% ต่อปี ซึ่งขยายตัวมากกว่าระดับ 2.6% ของไตรมาส 3 ส่วนจีดีพีตลอดปี 2553 ของสหรัฐ ขยายตัว 2.9% ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2548