สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (9 ก.พ.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและสต็อกน้ำมันเบนซินที่เพิ่มขึ้น และหลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อภายในประเทศ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ยังไร้ทิศทางอาจส่งผลให้ความต้องการพลังงานในสหรัฐลดน้อยลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ปรับตัวลง 23 เซนต์ หรือ 0.26% ปิดที่ 86.71 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 86.36 - 87.95 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 3.71 เซนต์ ปิดที่ 2.7689 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 3.18 เซนต์ ปิดที่ 2.5260 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 1.90 ดอลลาร์ ปิดที่ 101.82 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (อีไอเอ) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 4 ก.พ.เพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล แตะที่ 345.1 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 2.5 ล้านบาร์เรล
สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล แตะที่ 164.4 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 4.7 ล้านบาร์เรล แตะที่ 240.9 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2.9 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.2% แตะที่ 84.7% สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 0.2%
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กถูกกดดันจากรายงานของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ที่ระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันของโอเปคปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า โอเปคจะยังคงรักษาเพดานการผลิตไว้ที่ระดับสูงเพื่อชะลอความร้อนแรงของราคาน้ำมันในตลาดโลก
ข้อมูลล่าสุดของโอเปคระบุว่า ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของโอเปคในเดือนม.ค.โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 29.57 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบหลังจากเบอร์นันเก้ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับอัตราว่างงาน โดยคาดว่าอัตราว่างงานจะยังคงเคลื่อนไหวในระดับสูงในปีนี้ แม้ตัวเลขดังกล่าวปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 9% ในเดือนม.ค.ก็ตาม
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านพลังงานเชื่อว่า สัญญาน้ำมันดิบยังคงมีแนวโน้มที่จะดีดตัวขึ้น เนื่องจากกระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาอุปทานพลังงาน ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ตึงเคียดในอียิปต์และตะวันออกกลาง รวมถึงการลำเลียงน้ำมันดิบเบรนท์ในทะเลเหนือที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นเหนือระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลในขณะนี้