สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (10 ก.พ.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกปรับตัวลดลงเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดในอียิปต์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี หลังจากประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค กล่าวว่า เขาจะมอบอำนาจการปกครองประเทศให้กับรองประธานาธิบดี ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า มูบารัคจะก้าวลงจากตำแหน่งในเร็วๆนี้
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ขยับขึ้น 2 เซนต์ ปิดที่ 86.73 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 88.28-85.96 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมี.ค.ลดลง 5.82 เซนต์ ปิดที่ 2.7107 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 5.62 เซนต์ ปิดที่ 2.4698 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.ร่วงลง 88 เซนต์ ปิดที่ 101.44 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้แรงหนุนจากรายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วันที่ 5 ก.พ. ปรับตัวลดลง 36,000 ราย แตะระดับ 383,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนก.ค.ปี 2551 และปรับตัวลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 410,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายโดยรวมค่อนข้างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรสัญญาน้ำมันดิบเพราะมองว่า สถานการณ์ตึงเครียดในอียิปต์เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี หลังจากมูบารัคออกแถลงการณ์ว่า เขาจะมอบอำนาจการบริหารประเทศให้กับรองประธานาธิบดีโอมาร์ สุไลมาน เพื่อปกป้องความมั่นคงภายในประเทศ
แถลงการณ์ของมูบารัคทำให้นักลงทุนคาดว่า มูบารัคจะก้าวลงจากตำแหน่งเร็วๆนี้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง หลังจากประชาชนจำนวนมากได้เดินขบวนประท้วงในเมืองต่างๆ จนนำไปสู่การจลาจลและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากในช่วง 17 วันที่ผ่านมา นอกจากนี้ สถานการณ์รุนแรงในอียิปต์ยังส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นทั่วโลก เนื่องจากนักลงทุนเกรงว่าวิกฤตการณ์การเมืองในอียิปต์อาจทำให้ต้องมีการปิดคลองสุเอซ ซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันไปยังยุโรปและภูมิภาคอื่นๆของโลก
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ปรับเพิ่มคาดการณ์ความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2553 และ 2554 หลังจากปริมาณการใช้น้ำมันในภูมิภาคอเมริกาเหนือและกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะจีน ปรับตัวสูงขึ้น โดยระบุว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นเช่นนี้อาจทำให้กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ปรับเพิ่มการผลิตในปีหน้าด้วย
ทั้งนี้ IEA คาดว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกในปี 2554 จะอยู่ที่ 88.8 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 260,000 บาร์เรลจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และคาดว่าความต้องการน้ำมันในปี 2553 จะอยู่ที่ 87.4 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 130,000 บาร์เรลจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้