สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดอ่อนตัวลงเมื่อคืนนี้ (15 ก.พ.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์พลังงานซบเซาในสหรัฐ หลังจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐจะยังคงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดของสหรัฐ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.58% ปิดที่ 84.32 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 พ.ย.2553
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมี.ค.ลดลง 2.14 เซนต์ ปิดที่ 2.7290 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมี.ค.ลดลง 2.86 เซนต์ ปิดที่ 2.4888 ดอลลาร์/แกลลอน
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 1.44 ดอลลาร์ ปิดที่ 101.64 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์พลังงานที่ซบเซาในสหรัฐ หลังจากนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 11 ก.พ.ซึ่งทางสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนั้น จะพุ่งขึ้น 1 ล้านบาร์เรล และคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นคาดว่าจะลดลง 1 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.3%
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังถูกกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดค้าปลีกเดือนม.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% ซึ่งน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6% เนื่องจากผู้บริโภคลดการใช้จ่าย อันเป็นผลมาจากพายุหิมะและความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาการว่างงาน
นักลงทุนจับตาดูเหตุการณ์ชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลในอิหร่านและบาห์เรน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัค ถูกพลังมวลชนโค่นลงจากอำนาจเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้มีรายงานว่า เกิดการชุมนุมประท้วงในเยเมนและอัลจีเรียด้วย
นักวิเคราะห์กล่าวว่า เหตุการณ์ประท้วงที่ลุกลามในตะวันออกกลางอาจจะส่งผลกระทบต่อการลำเลียงน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) โดยเฉพาะในอิหร่านซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของกลุ่มโอเปค รองจากซาอุดิอาระเบีย