สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (22 ก.พ.) โดยสัญญาทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปี เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงในลิเบีย หลังจากนายมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ได้ออกมาเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเดินหน้าโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วง นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาในตะวันออกกลางมากขึ้นเมื่อมีรายงานว่า เรือรบ 2 ลำของอิหร่านได้แล่นผ่านคลองสุเอซแล้วในเมื่อวานนี้ ท่ามกลางความไม่พอใจของรัฐบาลอิสราเอล
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 7.37 ดอลลาร์ หรือ 8.55% ปิดที่ 93.57 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 86.25-94.49 ดอลลาร์ โดยสัญญาเดือนมี.ค.ได้ครบกำหนดส่งมอบแล้วในวันอังคารที่ 22 ก.พ.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 5.71 ดอลลาร์ หรือ 6.36% ปิดที่ 95.42 ดอลลาร์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 89.77-98.48 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 7.75 เซนต์ ปิดที่ 2.8035 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 5.63 เซนต์ ปิดที่ 2.7464 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนเม.ย.ขยับขึ้น 4 เซนต์ ปิดที่ 105.78 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบเพื่อปกป้องความเสี่ยง และนักลงทุนบางกลุ่มเข้าซื้อเพื่อเก็งกำไร หลังจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลและกองกำลังทหารของลิเบียได้ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเมื่อวานนี้ กัดดาฟี ได้ออกมาเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลเดินหน้าโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่ต้องการโค่นเขาลงจากตำแหน่งผู้นำ ซึ่งเหตุการณ์รุนแรงในลิเบียส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 300 คน
นักวิเคราะห์กังวลว่า สถานการณ์รุนแรงในลิเบียอาจส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมัน เนื่องจากลิเบียเป็นสมาชิกในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) นอกจากนี้ ยังกังวลว่าเหตุการณ์ประท้วงในลักษณะเดียวกันนี้อาจลุกลามไปยังอิหร่านซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโอเปค
ข้อมูลอย่างเป็นทางการของสหัฐระบุว่า ลิเบียเป็นหนึ่งในประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก และมีแหล่งสำรองน้ำมันขนาดใหญ่ที่สุดในแอฟริกา นอกจากนี้ ลิเบียยังส่งออกน้ำมันไปยังประเทศต่างๆทั่วโลกมากถึงวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล แต่เหตุการณ์รุนแรงในลิเบียส่งผลให้บริษัทน้ำมันของยุโรป รวมถึง รอยัล ดัทช์ เชลล์, บีพี, วินเตอร์แชลล์ และ Eni ได้อพยพพนักงานและครอบครัวออกจากลิเบียแล้ว ขณะที่บีพีและวินเตอร์แชลล์ยืนยันว่า ทางบริษัทได้ระงับการผลิตชั่วคราวในลิเบีย
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้ออกแถลงการณ์เพื่อลดกระแสความวิตกกังวลในตลาด โดยนายอาลี อัล-ไนมี รมว.พลังงานของซาอุดิอาระเบียกล่าวว่า ซาอุดิอาระเบียพร้อมที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเป็น 12.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อรองรับภาวะอุปทานขาดแคลนอันเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ในลิเบีย โดยปัจจุบันซาอุดิอาระเบียผลิตน้ำมันในอัตราส่วน 8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง หลังจากมีรายงานว่า เรือรบ 2 ลำของอิหร่านได้แล่นผ่านคลองสุเอซแล้วในวันนี้ โดยเรือทั้งสองลำ ซึ่งลำหนึ่งเป็นเรือรบขนาดกลางและอีกลำหนึ่งเป็นเรือรบสนับสนุน กำลังมุ่งหน้าไปยังทะเลเมดิเตอเรเนียน ขณะที่อิสราเอลได้ออกมาต่อต้านการที่อิหร่านยื่นเรื่องต่ออียิปต์เพื่อขอนำเรือรบแล่นผ่านคลองสุเอซเพื่อไปยังซีเรีย โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการยั่วยุ
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.4%