สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (25 ก.พ.) โดยราคาน้ำมันเริ่มเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพหลังจากที่ซาอุดิอาระเบีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดในโลกปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันเพื่อบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะขาดแคลนน้ำมันอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความวุ่นวายในลิเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 60 เซนต์ ปิดที่ 97.88 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในระหว่างวันที่ 99.20 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 5.23 เซนต์ ปิดที่ 2.9455 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 3.37 เซนต์ ปิดที่ 2.9086 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE ส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 78 เซนต์ ปิดที่ 112.14 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันได้รับปัจจัยหนุนจากการเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันจากซาอุดิอาระเบียในขณะที่ผลผลิตน้ำมันในลิเบียได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบภายในประเทศ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังคงส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน
ทั้งนี้ สำนักงานพลังงานสากล (IEA) และซาอุดิอาระเบียต่างพยายามที่จะลดแรงกดดันในตลาดน้ำมันเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดยให้คำมั่นว่าจะจัดหาผลผลิตน้ำมันสำรอง โดยประเทศสมาชิกของ IEA มีน้ำมันสำรองอยู่ประมาณ 1.6 พันล้านบาร์เรล
แหล่งข่าวในภาคอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ซาอุดิอาระเบียได้ปรับเพิ่มกำลังผลผลิตน้ำมันขึ้นอีก 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ การปรับทบทวนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศของสหรัฐส่งผลต่อภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันด้วยเช่นกัน โดยกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยประมาณการตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ประจำไตรมาส 4/2553 ครั้งที่ 2 ที่ขยายตัวในอัตรา 2.8% ต่อปี น้อยกว่าที่คาดการณ์ในก่อนหน้านี้ว่าจะขยายตัวได้ 3.2% ซึ่งการที่เศรษฐกิจขยายตัวน้อยเกินคาดนั้นสร้างแรงกดดันต่ออุปสงค์น้ำมัน