สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (14 มี.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์รุนแรงในลิเบียและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ญี่ปุ่นอาจจะนำเข้าน้ำมันมากขึ้นเพื่อเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการฟื้นฟูประเทศหลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.ขยับขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.03% ปิดที่ 101.19 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 98.47-101.29 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับตัวขึ้น 3.48 เซนต์ ปิดที่ 3.0638 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนเม.ย.ลดลง 2.74 เซนต์ ปิดที่ 2.9603 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนเม.ย.ร่วงลง 17 เซนต์ ปิดที่ 113.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นอาจจะนำเข้าน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติมากขึ้นเพื่อเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการฟื้นฟูประเทศหลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง และคาดว่าภาวะตัดขัดด้านการลำเลียงน้ำมันอันเนื่องมาจากแผ่นดินไหวในญี่ปุ่นนั้น จะเป็นเพียงสถานการณ์ชั่วคราว
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุนจากเหตุการณ์ความไม่สงบในลิเบีย โดยมีรายงานว่ากองกำลังของพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย เข้ายึดเมืองซูวาราห์ ที่ตั้งอยู่ริมชายฝั่ง ซึ่งเคยเป็นที่มั่นของกลุ่มกบฏในฝั่งตะวันตกของลิเบีย
นักวิเคราะห์คาดว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกลุ่ม G-8 อาจจะเสนอความช่วยเหลือญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ในการประชุมเป็นเวลา 2 วันที่กรุงปารีส
ทั้งนี้ แม้ว่าสถานการณ์ในลิเบียจะเป็นหนึ่งในประเด็นเร่งด่วนของที่ประชุม G-8 ในครั้งนี้ แต่นักวิเคราะห์คาดว่าความสนใจของรัฐมนตรีที่เข้าร่วมประชุม G8 จะมุ่งไปที่หายนะจากแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น และอาจนำมาซึ่งวิกฤติทางนิวเคลียร์จากการระเบิดของเตาปฏิกรณ์โรงไฟฟ้า ข้อมูลของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า ญี่ปุ่นใช้น้ำมันในปริมาณ 4.42 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2553 ขณะที่จีนใช้น้ำมันในปริมาณ 9.39 ล้านบาร์เรลต่อวัน และสหรัฐ 19.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 0.1%