สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กยังคงปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (22 มี.ค.) เนื่องจากเหตุการณ์สู้รบในลิเบียและสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลางทำให้นักลงทุนกังวลว่า อาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานและการลำเลียงน้ำมัน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 1.67 ดอลลาร์ หรือ 1.63% ปิดที่ 104.00 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 1.88 ดอลลาร์ ปิดที่ 104.97 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 74 เซนต์ ปิดที่ 115.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเนื่องจากสถานการณ์สู้รบในลิเบียทวีความรุนแรงขึ้น โดยกองกำลังของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย ได้โจมตีเมืองทางฝั่งตะวันตกของลิเบีย ส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิตหลายสิบคน
ส่วนสถานการณ์ในตะวันออกกลางนั้น ประชาชนชาวเยเมนและซีเรียจำนวนมากยังคงปักหลักประท้วงต่อต้านรัฐบาล โดย[รรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูง รวมถึงนักการทูตในเยเมนได้ออกมาสนับสนุนมวลชนที่ลุกฮือขับไล่ประธานาธิบดีอาลี อับดุลเลาะห์ ซอและห์
โกลด์แมน แซคส์ระบุว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศในลิเบียและสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลางจะส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอีก เพราะอาจจะทำให้โรงกลั่นหลายแห่งต้องปิดทำการ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
นักวิเคราะห์คาดว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะระบายน้ำมันออกจากสต็อกของรัฐบาลในปริมาณ 56 ล้านบาร์เรล เพื่อรับมือกับภาวะขาดแคลนพลังงานเป็นเวลา 22 วัน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มี.ค. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจจะเพิ่มขึ้น 0.2%
กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะจัดประชุมในวันที่ 8 มิ.ย.เพื่อทบทวนนโยบายการผลิตน้ำมัน