สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อคืนนี้ (24 มี.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนหดตัวลงอย่างเหนือความคาดหมายในเดือนก.พ. ซึ่งนักลงทุนมองว่าตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการลดการใช้จ่ายในภาคเอกชนและอาจจะรวมถึงการใช้จ่ายด้านพลังงานด้วย นอกจากนี้ นักลงทุนยังได้เข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นติดต่อกันหลายวัน สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ขยับลง 15 เซนต์ หรือ 0.14% ปิดที่ 105.60 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สัญญาฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนเม.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 3.0787 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนเม.ย.เพิ่มขึ้น 2.22 เซนต์ ปิดที่ 3.0508 ดอลลาร์/ออนซ์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE ส่งมอบเดือนพ.ค.ปรับตัวลง 13 เซนต์ ปิดที่ 115.60 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงหลังจากมีรายงานบ่งชี้ว่า ภาคเอกชนของสหรัฐเริ่มลดการใช้จ่าย โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี ลดลง 0.9% ในเดือนก.พ. ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1% ส่วนยอดสั่งซื้อสินค้าที่ไม่นับรวมยอดสั่งซื้ออุปกรณ์ด้านการขนส่ง ปรับตัวลดลง 0.6% ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.0%
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากนักลงทุนยังคงให้น้ำหนักกับสถานการณ์รุนแรงในลิเบียและประเทศต่างๆในตะวันออกกลาง โดยล่าสุดมีรายงานว่า บริษัทอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม คอร์ป และบริษัทโอเอ็มวี ซึ่งเป็นสองบริษัทพลังงานรายใหญ่ ได้อพยพคนงานออกฐานการผลิตในเยเมนแล้ว
สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า แม้เยเมนผลิตน้ำมันได้ในสัดส่วนเพียง 0.3% ของผลผลิตน้ำมันทั่วโลก แต่ประเทศเยเมนตั้งอยู่บนเส้นทางลำเลียงน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ของโลก รวมทั้งมีภูมิประเทศที่ติดกับทะเลแดงและอ่าวเอเดนซึ่งจะมีการลำเลียงน้ำมันผ่านในปริมาณ 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ส่วนที่ลิเบียนั้นมีรายงานว่า เครื่องบินรบของกองกำลังพันธมิตรชาติตะวันตกยังคงเดินหน้าโจมตีเป้าหมายทางทหารในลิเบีย ขณะเดียวกันมีรายงานว่าสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) สามารถคลี่คลายความขัดแย้งเรื่องอำนาจบัญชาการและเป้าหมายของปฏิบัติการโจมตีลิเบียได้แล้ว