สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (31 มี.ค.) หลังจากมีรายงานว่ากองกำลังทหารของมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย สามารถยึดท่าเรือลำเลียงน้ำมันที่เมืองราสลานอฟกลับมาได้อีกครั้ง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันในลิเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) สัญญาน้ำมันดิบส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.45 ดอลลาร์ หรือ 2.35% ปิดที่ 106.72 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2551
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ดีดตัวขึ้น 5.91 เซนต์ ปิดที่ 3.1125 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินปรับตัวขึ้น 5.04 เซนต์ ปิดที่ 3.1077 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.25 ดอลลาร์ ปิดที่ 117.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นทันทีที่มีรายงานว่า กองกำลังทหารของกัดดาฟีสามารถยึดท่าเรือลำเลียงน้ำมันที่เมืองราสลานอฟและเมืองเบรกากลับมาได้อีกครั้ง หลังจากที่กลุ่มกบฏต่อต้านกัดดาฟีซึ่งเคยใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นฐานที่มั่นในการสู้รบกับกองทัพผู้นำลิเบียนั้น ประกาศว่าจะเดินทางต่อสู้กับกองกำลังทหารของผู้นำเผด็จการอย่างกัดดาฟีอย่างไม่ลดละ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกน้ำมันของลิเบีย
ก่อนหน้านี้กลุ่มกบฏต่อต้านกัดดาฟีเคยประกาศว่าจะเริ่มดำเนินการส่งออกน้ำมันหลังจากยึดครองท่าเรือลำเลียงน้ำมันที่เมืองราสลานอฟและเบรกาได้สำเร็จเมื่อวันก่อน แต่ขณะนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางลบ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าเหตุการณ์ตึงเครียดในลิเบียอาจจะยืดเยื้อออกไปอีก แม้กองกำลังชาติพันธมิตและนาโต้ยังคงเดินหน้าใช้ปฏิบัติการทางทหารโจมตีลิเบียก็ตาม
ทั้งนี้ ลิเบียส่งออกน้ำมันในปริมาณ 1.6 พันล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 2% ของอุปทานน้ำมันดิบทั่วโลก โดยส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศยุโรป นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังพุ่งขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากเหตุการณ์ประท้วงรุนแรงในเยเมน ซีเรีย และบาห์เรนด้วย
นักลงทุนจับตาดูการเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนมี.ค.ของสหรัฐในคืนนี้ตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 190,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือนมี.ค.จะทรงตัวอยู่ที่ 8.9%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 มี.ค.ร่วงลง 6,000 ราย แตะระดับ 388,000 ราย แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 380,000 ราย