สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเหนือระดับ 108 ดอลลาร์/บาร์เรลเมื่อคืนนี้ (4 เม.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์สู้รบในลิเบีย และสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกกลาง ขณะที่นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐจะเปิดเผยในวันพุธนี้
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 53 เซนต์ หรือ 0.49% ปิดที่ 108.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่ในวันที่ 22 ก.ย.2551 เป็นต้นมา โดยในระหว่างวัน สัญญาเคลื่อนตัวในช่วง 107.58-108.78 ดอลลาร์
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 3.69 เซนต์ ปิดที่ 3.1714 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 1.75 เซนต์ ปิดที่ 3.1688 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.36 ดอลลาร์ ปิดที่ 121.06 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนยังคงเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบ หลังจากมีรายงานว่าการปะทะกันระหว่างกองกำลังสนับสนุนพันเอกมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย และกลุ่มกบฏต่อต้านกัดดาฟี ทวีความรุนแรงขึ้นและยังไม่มีแนวโน้มว่าจะบรรเทาลง
คอร์นี เทอร์เนอร์ นักวิเคราะห์อาวุโสจากวอลล์สตรีท สตราเทจิกส์ กล่าวกับสำนักข่าวซินหัวว่า สถานการณ์รุนแรงในลิเบียถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในตลาดน้ำมัน เพราะลิเบียเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มโอเปคที่สามารถผลิตน้ำมันได้ 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 2% ของปริมาณการผลิตทั่วโลก นอกจากนี้ ลิเบียมีบริษัทเอส ไซเดอร์ เป็นตัวหลักในการผลิตน้ำมันดิบคุณภาพสูง ซึ่งทำให้ลิเบียมีอิทธิพลต่อตลาดพลังงานโลก
รายงานล่าสุดระบุว่า กลุ่มกบฏต่อต้านกัดดาฟีสามารถยึดพื้นที่ชายฝั่งตะวันออกของประเทศเอาไว้ได้ โดยแกนนำกลุ่มกบฏยืนยันว่าจะผลักดันให้มีการขนถ่ายน้ำมันออกจากพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการประท้วงต่อต้านรัฐบาลของกัดดาฟี
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากความไม่สงบทางการเมืองในเยเมน บาห์เรน และซีเรีย ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่า สถานการณ์ตึงเครียดอาจจะลุกลามไปยังซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโอเปค โดยล่าสุดมีรายงานว่า กองกำลังความมั่นคงของรัฐบาลได้เปิดฉากยิงปืนใส่กลุ่มผู้ประท้วง
ทั้งนี้ แม้เยเมนไม่ใช่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก แต่เยเมนตั้งอยู่บนเส้นทางลำเลียงน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ของโลก รวมทั้งมีภูมิประเทศที่ติดกับทะเลแดงและอ่าวเอเดนซึ่งมีการลำเลียงน้ำมันผ่านในปริมาณ 3.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 1 เม.ย. ซึ่งทางสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 200,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.6%