สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่งเมื่อคืนนี้ (8 เม.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับอุปทานท่ามกลางเหตุการณ์ความไม่สงบในบรรดาประเทศผู้ผลิตน้ำมันในแอฟริกาเหนือและตะวันออกกลางที่ยังคงยืดเยื้อ ประกอบกับเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.พุ่งขึ้น 2.49 ดอลลาร์ หรือ 2.26% ปิดที่ 112.79 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2551
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 11.37 เซนต์ ปิดที่ 3.3197 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 7.42 เซนต์ ปิดที่ 3.2607 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE ปิดทะยาน 3.98 ดอลลาร์ หรือ 3.24% แตะที่ 126.65 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันเพราะความวิตกกังวลที่เพิ่มมากขึ้นต่อสถานการณ์ด้านอุปทาน อันเนื่องมาจากการสู้รบที่ยืดเยื้อระหว่างกองกำลังของนายมูอัมมาร์ กัดดาฟี ผู้นำลิเบีย และกองกำลังต่อต้านรัฐบาล
ทั้งนี้ นอกจากสถานการณ์ความขัดแย้งในลิเบียแล้ว เหตุการณ์ความไม่สงบในเยเมนและบาห์เรน รวมถึงเหตุระเบิดที่มีเป้าหมายเพื่อขัดขวางการเลือกตั้งในไนจีเรีย ได้จุดปะทุความวิตกกังวลเรื่องอุปทานน้ำมันให้เพิ่มสูงขึ้นด้วย
โดยไนจีเรียเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ด้วยกำลังการผลิตประมาณ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน นักวิเคราะห์กล่าวว่า หากมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นในประเทศ ก็อาจเป็นการจุดชนวนวิกฤตการณ์น้ำมันขึ้นอีกระลอก
ขณะเดียวกัน ตลาดน้ำมันยังได้แรงผลักดันจากเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆเกือบทุกสกุล โดยปกติแล้ว เงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงจะช่วยหนุนสินค้าโภคภัณฑ์ที่ซื้อขายกันด้วยสกุลเงินดอลลาร์ เพราะราคาที่น่าดึงดูดขึ้นในสายตาของผู้ซื้อที่ถือเงินสกุลเงินต่างประเทศ