สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ (18 เม.ย.) หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะยาวของสหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่จีนประกาศใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินครั้งใหม่ เพื่อควบคุมเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ร่วงลง 2.54 ดอลลาร์ หรือ 2.32% ปิดที่ 107.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 1.84 ดอลลาร์ หรือ 1.49% ปิดที่ 121.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือระยะยาวของสหรัฐลงสู่ระดับ "เชิงลบ" จากเดิม "มีเสถียรภาพ" พร้อมกับแสดงความกังวลว่า ปัญหาการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอีก 2 ปีข้างหน้า และอาจจะทำให้อันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐถูกปรับลดลงด้วย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจและความต้องการพลังงานในประเทศจีน หลังจากจีนประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์อีก 0.5% โดยมีเป้าหมายที่จะควบคุมเงินเฟ้อและการขยายตัวของเศรษฐกิจ หลังจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมี.ค.ของจีนพุ่งขึ้น 5.4% ซึ่งเป็นระดับสุงสุดในรอบ 32 เดือน และสูงกว่าเป้าหมายที่รัฐบาลจีนกำหนดไว้ที่ 4%
นักวิเคราะห์ในตลาดน้ำมันนิวยอร์กกล่าวว่า ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอาจจะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และอาจทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายด้านพลังงาน นอกจากนี้ อัตราค่าแรง, ราคาอาหารและพลังงานที่สูงขึ้น ยังทำให้นักวิเคราะห์บางกลุ่มปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในช่วงไตรมาสแรกลงถึงครึ่งหนึ่ง
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงกดดันจากการที่รัฐมนตรีพลังงานของซาอุดิอาระเบียได้ออกมาแสดงความเห็นว่า ตลาดโลกมีน้ำมันดิบในปริมาณที่เพียงพอ นอกจากนี้ ซาอุดิอาระเบียยังได้ปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงกว่า 800,000 บาร์เรลในเดือนมี.ค.เพราะความกังวลที่ว่า ราคาน้ำมันที่สูงเกินไปอาจส่งผลกระทบต่ออุปสงค์
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 15 เม.ย.ซึ่งทางสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 5 แสนบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้คาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.9%