สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (28 เม.ย.) โดยสัญญาปิดที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี เพราะได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีมุมมองที่เป็นบวกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของสหรัฐที่ขยายตัวช้าลงในไตรมาสแรกนั้น จะเป็นแรงผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายด้านการเงิน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ปิดบวก 10 เซนต์ หรือ 0.9% แตะที่ 112.86 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 ก.ย.2551
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนมิ.ย.ร่วงลง 11 เซนต์ ปิดที่ 125.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 16 เดือนเมื่อเทียบกับยูโร เพราะการอ่อนค่าของดอลลาร์ทำให้สัญญาน้ำมันดิบมีมูลค่าถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่น
นอกจากนี้ นักลงทุนมองว่าการที่จีดีพีไตรมาสแรกปีนี้ของสหรัฐขยายตัวเพียง 1.8% ต่ำกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่สามารถขยายตัวได้ดีถึง 3.1% จะเป็นแรงผลักดันให้คณะกรรมการเฟดยังคงใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน รวมถึงการตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำและเดินหน้าใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสอง (QE2) ด้วยการซื้อพันธบัตรวงเงิน 6 แสนล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและหนุนการจ้างงาน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะทำให้ความต้องพลังงานสูงขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากภาวะการซื้อขายโดยรวมยังคงถูกกดดันจากข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความอ่อนแอของอุปสงค์พลังงานในสหรัฐ โดยสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 22 เม.ย.พุ่งขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรล แตะที่ 363.1 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1 ล้านบาร์เรล
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานที่ว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 เม.ย. พุ่งขึ้น 25,000 ราย แตะระดับ 429,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 404,000 ราย