สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 31 เดือนเมื่อคืนนี้ (29 เม.ย.) เพราะได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 1.07 ดอลลาร์ หรือ 0.95% ปิดที่ 113.93 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 112.25-114.18 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนมิ.ย.พุ่งขึ้น 87 เซนต์ ปิดที่ 125.89 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากดอลลาร์สหรัฐร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ เพราะถูกกดันจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ตัดสินใจตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำและเดินหน้ามาตรการ QE2 ไปจนถึงกลางปีนี้
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากข่าวพายุทอร์นาโดถล่มรัฐทางตอนใต้ของสหรัฐ จนทำให้นายวอลเตอร์ แมดด็อกซ์ นายกเทศมนตรีเมืองทัสคาลูซา รัฐแอละแบมาซึ่งได้รับผลกระทบหนักสุดจากพายุทอร์นาโดต้องประกาศเคอร์ฟิว นอกจากนี้มีรายงานว่า ความรุนแรงของพายุทอร์นาโดทำให้โรงกลั่น 7 แห่งในรัฐเท็กซัส แอละบามา และเพนซิลวาเนีย ต้องปิดทำการ ซึ่งโดยปกติแล้วโรงกลั่นเหล่านี้จะลำเลียงน้ำมันไปยังภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ มิดเวสต์ และกัลฟ์โคสต์ของสหรัฐ
ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่หนุนสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นด้วย โดยเมื่อวานนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการใช้จ่ายผู้บริโภคเดือนมี.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.6% แตะที่ 6.07 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำสถิติปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 ขณะที่รายได้ส่วนบุคคลในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้น 0.5%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบทะยานขึ้นเนื่องจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลางและลิเบีย โดยมีรายงานว่าเหตุการณ์รุนแรงในลิเบียส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันลดลงไปแล้ว 1.6 ล้านบาร์เรล/วัน