สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (17 พ.ค.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการพลังงานในสหรัฐ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงดัชนีภาคการผลิตที่หดตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน และตัวเลขสร้างบ้านที่ปรับตัวลดลงในเดือนเม.ย.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ขยับลง 46 เซนต์ หรือ 0.47% ปิดที่ 96.91 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 95.02-97.81 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนก.ค.ปรับตัวลง 85 เซนต์ ปิดที่ 109.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มความต้องการพลังงานในสหรัฐ หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย.ของสหรัฐปรับตัวลง 0.4% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกในรอบ 10 เดือน และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการร่วงลงของผลผลิตรถยนต์ อันเนื่องมาจากผลกระทบของเหตุการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิในญี่ปุ่นซึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มี.ค.
นักวิเคราะห์จากเทลเวนท์ ดีทีเอ็นกล่าวว่า การหดตัวลงของภาคการผลิตในสหรัฐถือเป็นสัญญาณด้านลบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ และสร้างความวิตกกังวลให้กับนักลงทุนในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดการเงิน เพราะที่ผ่านมานั้นภาคการผลิตถือเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจสหรัฐ
ตลาดน้ำมันนิวยอร์กถูกกดดันจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนเม.ย.ร่วงลง 10.6% สู่ระดับ 523,000 ยูนิตต่อปี ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 568,000 ยูนิตต่อปี และตัวเลขการอนุญาตสร้างบ้านใหม่เดือนเม.ย.ลดลง 4% สู่ระดับ 551,000 ยูนิต
นอกจากนี้ นักลงทุนยังวิตกกังวลเรื่องรัฐบาลจีนพยายามใช้มาตรการควบคุมการขยายตัวของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อภายในประเทศ โดยล่าสุดธนาคารกลางจีนประกาศเพิ่มเพดานกันสำรองเงินฝากของธนาคารพาณิชย์อีก 0.5% เพื่อดูดซับสภาพคล่องออกจากระบบการเงิน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนวันพุธตามเวลาประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล นอกจากนี้คาดว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.2%