สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 2% เมื่อคืนนี้ (23 พ.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากกระแสความวิตกกังวลเรื่องปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ได้ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของอิตาลีลงสู่ระดับ "เชิงลบ" นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และรายงานที่ว่าภาคการผลิตของจีนชะลอตัวลงในเดือนพ.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 2.40 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 97.70 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.ดิ่งลง 2.29 ดอลลาร์ ปิดที่ 110.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 96.37-100.04 ดอลลาร์
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กซบเซาลงอันเนื่องมาจากหลากหลายปัจจัย รวมถึงความกังวลที่ว่าปัญหาหนี้สาธารณะอาจลุกลามไปยังหลายประเทศในยุโรป หลังจากเอสแอนด์พีประกาศลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของอิตาลีลงสู่ระดับ "เชิงลบ" จากเดิมที่ระดับ "มีเสถียรภาพ"
ข่าวการถูกลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของอิตาลีถือเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดน้ำมันนิวยอร์ก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ตลาดได้รับปัจจัยลบอยู่ก่อนแล้วจากการที่ฟิทช์ เรทติ้งส์ ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของกรีซลงสู่ระดับ B+ ซึ่งเป็นระดับ "ขยะ" จากเดิมที่ระดับ BB+
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันดิบหลังจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ และหลังจากเอชเอสบีซี โฮลดิ้ง และมาร์กิต อิโคโนมิคส์ เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีนในเดือนพ.ค.2554 ขยายตัวที่ระดับ 51.1 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 เดือน และลดลงจากเดือนเม.ย.ที่ขยายตัว 51.8 จุด ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจจีนกำลังชะลอตัวลง หลังจากธนาคารกลางจีนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและควบคุมการปล่อยเงินกู้
รายงานของบริษัทแพลทส์ ซึ่งเป็นบริษัทข้อมูลด้านพลังงานในเครือของแมคกรอว์-ฮิลล์ ระบุว่า ปริมาณการใช้น้ำมันดิบในประเทศจีนในเดือนเม.ย.อยู่ที่ 9.37 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 8.3% จากเดือนเม.ย.ปีที่แล้ว แต่ลดลงจากไตรมาสแรกปีนี้ที่สามารถขยายตัวโดยเฉลี่ย 10%
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 500,000 บาร์เรล นอกจากนี้คาดว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.5%