สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 พ.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่พุ่งขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกที่ขยายตัวน้อยกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดน้อยลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 1.08% ปิดที่ 100.23 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ค.ขยับขึ้น 12 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 115.05 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากโกลด์แมน แซคส์ ประกาศเพิ่มคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ณ สิ้นปีหน้าขึ้นสู่ระดับ 140 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่ระดับ 120 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากนักลงทุนผิดหวังต่อข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริง ประจำไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวในอัตรา 1.8% ต่อปี น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัว 2.1% และน้อยกว่าไตรมาสสี่ปีที่แล้วที่สามารถขยายตัวได้ถึง 3.1% ซึ่งเป็นผลมาจากการที่รัฐบาลลดการใช้จ่าย
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุด ณ วัน 21 พ.ค. เพิ่มขึ้น 10,000 ราย สู่ระดับ 424,000 ราย จากสัปดาห์ก่อนหน้านั้นที่ระดับ 414,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 400,000 ราย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังของสหรัฐทำให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย อันเนื่องมาจากความกังวลที่ว่าภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดน้อยลงด้วย
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงในกรอบที่จำกัดเนื่องจากตลาดได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัวลงหลังจากมีรายงานว่า จีนให้ความสนใจที่จะเข้าซื้อพันธบัตรเพื่อช่วยกู้วิกฤตหนี้ของโปรตุเกส ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยหนุนสกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ