สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงมากกว่า 4 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (15 มิ.ย.) หลังจากมีรายงานว่าชาวกรีซหลายพันคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า วิกฤตหนี้กรีซอาจฉุดรั้งเศรษฐกิจยุโรปให้อ่อนแอลง และจะส่งผลให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ รวมถึงข้อมูลในภาคการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 4.56 ดอลลาร์ หรือ 4.59% ปิดที่ 94.81 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนก.ค.ร่วงลง 6.34 ดอลลาร์ หรือ 5.3% ปิดที่ 113.01 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนกระหน่ำขายสัญญาน้ำมันเพราะกังวลว่า วิกฤตหนี้สาธารณะที่กำลังบานปลายกลายเป็นประเด็นทางการเมืองของกรีซนั้น จะฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในยูโรโซนและทำให้ความต้องการพลังงานอ่อนแอลงด้วย โดยมีรายงานว่าประชาชนชาวกรีซหลายพันคนได้ออกมาชุมนุมประท้วงบนถนนหลายสายในกรุงเอเธนส์ เพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาล รวมถึงการลดงบประมาณการใช้จ่ายในภาคส่วนที่สำคัญ เพื่อให้มีคุณสมบัติเพียงพอต่อการรับความช่วยเหลือครั้งใหม่จากไอเอ็มเอฟและอียู
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ประท้วงยังพยายามกดดันให้นายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีของกรีซลาออก แต่นายกรัฐมนตรีปาปันเดรอูยืนยันว่า เขาจะจัดตั้งคณะรัฐบาลชุดใหม่หลังจากการประชุมสมัยสมัญของรัฐสภาเสร็จสิ้นลง
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ในกรีซได้บดบังปัจจัยลบจากรายงานของสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วร่วงลง 3.4 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล
ตลาดน้ำมันดิบถูกกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยผลการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กพบว่า ดัชนีกิจกรรมด้านการผลิตในรัฐนิวยอร์ก หรือดัชนี Empire State ร่วงลงเกือบ 20% สู่ระดับ 7.79 จุด ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ปีที่แล้ว และยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ 12 จุด
ขณะที่ดัชนีภาคการผลิตโดยรวมของสหรัฐขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนพ.ค. เนื่องจากห่วงโซ่อุปทานในภาคการผลิตยังคงได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งมีความปลอดภัย