สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 มิ.ย.) หลังจาก 28 ชาติสมาชิกเครือข่ายสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ซึ่งรวมถึงสหรัฐด้วยนั้น ประกาศว่าจะระบายน้ำมันดิบ 60 ล้านบาร์เรลจากคลังยุทธภัณฑ์สำรองเข้าสู่ตลาด เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานพลังงานตึงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในลิเบีย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 4.39 ดอลลาร์ หรือ 4.6% ปิดที่ 91.02 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 94.47 89.70 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนส.ค.ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ร่วงลง 6.95 ดอลลาร์ ปิดที่ 107.26 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบอย่างหนักหลังจากนายโนบุโอะ ทานากะ ผู้อำนวยการบริหารของ IEA ประกาศว่า 28 ชาติสมาชิกของ IEA ซึ่งรวมถึงสหรัฐด้วยนั้น ได้ตัดสินใจที่จะระบายน้ำมัน 60 ล้านบาร์เรลจากคลังยุทธภัณฑ์สำรองเข้าสู่ตลาด โดยจะทยอยระบายน้ำมันออกมาในปริมาณ 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลา 30 วัน เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานพลังงานตึงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในลิเบีย
นายทานากะกล่าวว่า ที่ผ่านมานั้น ภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง และกำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก
"นับเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์การก่อตั้ง IEA ที่ 28 ชาติสมาชิกของเราได้ตัดสินใจระบายน้ำมันออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรอง ผมคาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มอุปทานพลังงานในตลาด และจะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกให้สามารถฟื้นตัวต่อไปได้" นายทานากะกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อกระทรวงพลังงานสหรัฐออกแถลงการณ์ว่า สหรัฐจะระบายน้ำมัน 30 ล้านบาร์เรลจากคลังยุทธภัณฑ์สำรองเข้าสู่ตลาด ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำมัน 60 ล้านบาร์เรลที่ IEA เตรียมระบายออกจากคลัง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า อุปทานพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้จะฉุดราคาน้ำมันดิบร่วงลง โดยนักวิเคราะห์ของด้านพลังงานของโกลด์แมน แซคส์คาดว่า ราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะร่วงลงอีก 10-12 ดอลลาร์/บาร์เรล ทันทีที่ IEA ระบายน้ำมันดิบออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรอง
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 มิ.ย.ที่พุ่งขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 429,000 ราย และยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.ร่วงลง 2.1% สู่ระดับ 319,000 ยูนิต/ปี