สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (24 มิ.ย.) หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศเพิ่มการประมาณการตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรก และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนพ.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยให้ตลาดคลายความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเพียงเล็กน้อยเนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ระมัดระวังการซื้อขายเพื่อประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ประกาศว่าจะระบายน้ำมันออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรอง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ดีดขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.15% ปิดที่ 91.16 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 91.15-90.85 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 2.14 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 105.12 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐประกาศปรับเพิ่มการประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงประจำไตรมาสแรกปีนี้เป็น 1.9% จากการประมาณการครั้งก่อนที่ระดับ 1.8% เพราะได้แรงหนุนจากการที่ภาคเอกชนปรับเพิ่มสต็อกสินค้าคงคลัง
นอกจากนี้ สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี ดีดตัวขึ้น 1.9% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 3.6 พันล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายเป็นไปอย่างซบเซาเนื่องจากนักลงทุนกังวลว่ารัฐสภากรีซอาจจะไม่ผ่านร่างกฎหมายรัดเข็มขัดฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่กรีซจะต้องปฏิบัติเพื่อแลกกับการรับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และสหภาพยุโรป (อียู)
นอกจากนี้ นักลงทุนยังมีท่าทีระมัดระวังการซื้อขายเพื่อประเมินผระทบที่เกิดขึ้นหลังจาก IEA ประกาศว่าจะระบายน้ำมัน 60 ล้านบาร์เรลออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรอง เพื่อบรรเทาภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดและเพื่อสกัดกั้นการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันที่กำลังส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก