สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 มิ.ย.) หลังจากสำนักงานสารนิเทศด้านพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการพลังงานภายในประเทศยังแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังขานรับข่าวรัฐสภากรีซมีมติผ่านมาตรการรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี ซึ่งจะช่วยให้กรีซสามารถหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวขึ้น 1.88 ดอลลาร์ หรือ 2% ปิดที่ 94.77 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 3.89 ดอลลาร์ หรือ 3.30% ปิดที่ 112.37 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเข้าซื้อสัญญาน้ำมันดิบหลังจากสหรัฐเปิดเผยรายงานสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงเกินคาด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความต้องการพลังงานภายในประเทศยังแข็งแกร่ง โดยเมื่อวานนี้ สำนักงาน EIA เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 มิ.ย.ร่วงลง 4.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 359.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 600,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 1.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 213.2 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 300,000 บาร์เรล สู่ระดับ 142.3 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 1.1% สู่ระดับ 88.1% ตรงข้ามกับที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกเหนือจากสต็อกน้ำมันดิบที่ร่วงลงเกินคาดแล้ว ตลาดน้ำมัน NYMEX ยังแรงหนุนจากข่าวที่ว่ารัฐสภากรีซมีมติด้วยคะแนนเสียง 155 ต่อ 138 รับรองมาตรการรัดเข็มขัดระยะ 5 ปี ซึ่งข่าวดังกล่าวนอกจากจะทำให้นักลงทุนคลายความกังวลจากปัญหาหนี้กรีซแล้ว ยังฉุดสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐให้อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโร ซึ่งการอ่อนค่าของดอลลาร์ถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์
ผู้ขับขี่ยานยนต์ในสหรัฐต่างผิดหวังที่ราคาน้ำมันเบนซินในสถานีบริการทั่วประเทศยังคงเคลื่อนไหวในช่วงขาขึ้น แม้สำนักงานพลังงานสากล (IEA) ได้ระบายน้ำมันดิบ 60 ล้านบาร์เรลออกจากคลังยุทธภัณฑ์สำรองก็ตาม โดยสัญญาน้ำมันเบนซินเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 4.2% ปิดที่ 3.01 ดอลลาร์/แกลลอน