สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (11 ก.ค.) หลังจากทางการจีนเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย.ที่พุ่งขึ้นแตะระระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี ซึ่งนักลงทุนกังวลว่าอาจจะทำให้ธนาคารกลางจีนใช้มาตรการคุมเข้มทางการเงินเพิ่มเติมในระยะใกล้นี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรป และรายงานที่ว่าจีนลดปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบลงในเดือนมิ.ย.
สัญญน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปรับตัวลง 1.05 ดอลลาร์ ปิดที่ 95.15 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 94.14-96.75 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนส.ค.ร่วงลง 1.09 ดอลลาร์ หรือ 0.92% ปิดที่ 117.24 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจจีนส่งผลให้เกิดแรงเทขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์ก โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อหลักภายในประเทศ พุ่งขึ้น 6.4% ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากราคาอาหารทะยานขึ้น 14.4%
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากรายงานของสำนักงานศุลกากรจีนที่ระบุว่า จีนนำเข้าน้ำมันดิบ 19.7 ล้านตันในเดือนมิ.ย. ลดลง 8.6 % จากเดือนพ.ค.
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า นอกเหนือจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจจีนแล้ว ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่า อิตาลีอาจเป็นประเทศต่อไปที่จะเผชิญกับปัญหาหนี้สาธารณะแบบเดียวกับกรีซ และข่าวที่ว่า ที่ประชุมระหว่างคณะทำงานของประธานาธิบดี บารัค โอบามาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ซึ่งทำให้เกิดความกังวลว่าสถานการณ์ดังกล่าวอาจทำให้สหรัฐเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้ในเร็วๆนี้
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.ค.ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจจะลดลง 2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.2%