สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) หลังจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันดิบทั่วโลกจะพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีนี้ เพราะได้แรงหนุนจากปริมาณการใช้พลังงานที่สูงขึ้นในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่า เฟดอาจจะใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบสาม (QE3) เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ
สัญญน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 2.28 ดอลลาร์ หรือ 2.4% ปิดที่ 97.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนส.ค.เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ ปิดที่ 117.75 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนหลังจาก IEA คาดการณ์ว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.6% ในปีนี้ สู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 88.16 บาร์เรล/วัน เนื่องจากความต้องการพลังงานในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ยังคงแข็งแกร่ง
ขณะที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ระบุว่า ความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้นในปีนี้ แม้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังคงเปราะบางก็ตาม โดยคาดว่าความต้องการน้ำมันโดยเฉลี่ยทั่วโลกจะเพิ่มขึ้น 1.36 ล้านบาร์เรลในปีนี้ สู่ระดับ 88.18 ล้านบาร์เรลต่อวัน และจะเพิ่มขึ้น 1.32 ล้านบาร์เรลในปีหน้า สู่ระดับ 89.50 ล้านบาร์เรลต่อวัน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานการประชุมครั้งล่าสุดของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ที่ระบุว่า คณะกรรมการเฟดได้หารือกันเป็นครั้งแรกเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้มาตรการ QE3 เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งการส่งสัญญาณของเฟดทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าจะช่วยหนุนความต้องการพลังงานให้เพิ่มขึ้นด้วย
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 8 ก.ค.ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบอาจจะลดลง 2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นอาจจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจจะเพิ่มขึ้น 400,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.2%