สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ กระตุ้นให้นักลงทุนพากันหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ปิดลดลง 1.74 ดอลลาร์ หรือ 1.79% แตะที่ 95.70 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นราคาปิดต่ำสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนก.ค. หลังจากเคลื่อนไหวระหว่าง 94.95 - 97.39 ดอลลาร์ โดยตลอดสัปดาห์ สัญญาร่วงลง 4.17 ดอลลาร์ หรือ 4.18% หลังจากที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาสี่สัปดาห์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 62 เซนต์ หรือ 0.5% ปิดที่ 116.74 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ขยายตัว 1.3% ต่อปีในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน 2554 ซึ่งน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวที่ประมาณ 1.8% เนื่องจากการบริโภคส่วนบุคคลชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น
พร้อมกันนี้ ทางกระทรวงยังได้ปรับลดการขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกลงอย่างมากเหลือเพียง 0.4% จาก 1.9% ซึ่งอ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยสิ้นสุดลงเมื่อสองปีก่อน โดยเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวไม่ถึง 2% เป็นเวลาสองไตรมาสติดต่อกัน นับเป็นการยืนยันว่าเศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจน
ขณะเดียวกันนักลงทุนผิดหวังกับความจริงที่ว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐประกาศเลื่อนการลงมติร่างกฎหมายเพิ่มเพดานหนี้และลดยอดขาดดุลงบประมาณซึ่งควรจะมีขึ้นเมื่อคืนวันพฤหัสบดี (เช้าวันศุกร์ตามเวลาไทย) ออกไป ซึ่งบ่งชี้ว่าความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากของสมาชิกพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อความพยายามที่จะผลักดันให้สหรัฐรอดพ้นจากการผิดนัดชำระหนี้
ทั้งนี้ นักลงทุนจึงพากันหลีกเลี่ยงความเสี่ยงดังกล่าว ซึ่งส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายเบาบางและฉุดให้ราคาน้ำมันปรับตัวลง
อย่างไรก็ดี พายุโซนร้อนที่มีการคาดการณ์เมื่อวันพฤหัสบดีว่าอาจพัดเข้ากระหน่ำชายฝั่งรัฐเท็กซัสของสหรัฐนั้น ได้อ่อนกำลังลงแล้ว และโรงกลั่นน้ำมันบางแห่งที่ปิดทำการเพราะหวั่นเกรงพายุ ก็ได้กลับมาเปิดดำเนินการตามปกติ