สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (9 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนรู้สึกผิดหวังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการประชุมเมื่อวานนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ หลังจากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐ ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวส่งผลให้สัญญาน้ำมัน NYMEX ร่วงลงหลุดจากแนวรับที่ระดับ 80 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 2.01 ดอลลาร์ หรือ 2.47% ปิดที่ 79.30 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 1.17 ดอลลาร์ หรือ 1.13% ปิดที่ 102.57 ดอลลาร์/บาร์เรล
ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน เนื่องจากตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่ หลังจากเอสแอนด์พีปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงสู่ระดับ AA+ จากระดับ AAA
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ในช่วงเช้านั้น สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นเนื่องจากนักลงทุนบางกลุ่มได้เข้ามาช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากสัญญาร่วงลงถึง 6.4% เมื่อวันจันทร์ ซึ่งแรงซื้อได้หนุนสัญญาน้ำมันดิบเดือนก.ย.ทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 83.05 ดอลลาร์/บาร์เรลในระหว่างวัน
แต่สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ไม่ได้ประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และไม่ได้ใช้มาตรการใหม่ๆที่จะช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าเฟดยืนยันว่าจะตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับต่ำเป็นพิเศษไปจนถึงกลางปี 2556 ก็ตาม
ทั้งนี้ ความกังวลในเรื่องดังกล่าวส่งผลให้สัญญาน้ำมัน NYMEX ร่วงลงหลุดจากแนวรับที่ระดับ 80 ดอลลาร์เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ลงสู่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวันในปีหน้า เนื่องจากเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มซบเซาลง
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 1.1 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 200,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจลดลง 0.5%