สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 5 ดอลลาร์เมื่อคืนนี้ (18 ส.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ที่เพิ่มขึ้นเกินคาด และมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจทำให้ความต้องการพลังงานซบเซาลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย.ร่วงลง 5.20 ดอลลาร์ หรือ 5.94% ปิดที่ 82.38 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 81.15-87.53 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.ร่วงลง 3.61 ดอลลาร์ ปิดที่ 106.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐได้สร้างความวิตกกังวลว่าสหรัฐอาจจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหม่ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาฟิลาเดลเฟียเปิดเผยว่า ดัชนีกิจกรรมภาคการผลิตในเขตมิดแอตแลนติกของสหรัฐร่วงลงมาอยู่ที่ระดับ -30.7 จุดในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2552 จากเดือนมิ.ย.ที่ระดับ +3.2%
นอกจากนี้ สหรัฐรายงานว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานในรอบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้น 9,000 ราย สู่ระดับ 408,000 ราย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 400,000 ราย ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ค.ร่วงลง 3.5% แตะที่ 4.67 ล้านยูนิตต่อปี ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.8%
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การร่วงลงอย่างหนักของตลาดวอลล์สตรีทส่งผลให้นักลงทุนปลีกตัวออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง อาทิ สัญญาน้ำมันดิบ และย้ายฐานการลงทุนเข้าไปยังสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า เช่นทองคำและพันธบัตรสหรัฐ นอกจากนี้ การที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.7% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ยังเพิ่มแรงกดดันให้กับตลาดทองคำด้วย
นักลงทุนจับตาดูสถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ ท่ามกลางความวิตกกังวลที่ว่าเหตุการณ์รุนแรงในภูมิภาคดังกล่าวจะส่งผลกระทบกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบ โดยล่าสุดมีรายงานว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐ ได้ประกาศห้ามนำเข้าน้ำมันดิบจากซีเรีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ ทั้งนี้ คำสั่งห้ามดังกล่าวจะทำให้อุปทานน้ำมันดิบในตลาดสหรัฐลดลงไปประมาณ 10,000 บาร์เรล