สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (24 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้ามาเทขายทำกำไรหลังจากสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นแข็งแกร่งติดต่อกันหลายวัน อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบขยับลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนหลังจากทางการสหรัฐรายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบร่วงลงเกินคาด และยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเพิ่มขึ้นเกินคาดในเดือนก.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ปิดลบ 28 เซนต์ หรือ 0.33% แตะที่ 85.16 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 84.55-86.59 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนต.ค.ดีดขึ้น 84 เซนต์ ปิดที่ 110.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังจากที่สัญญาทะยานขึ้นแข็งแกร่งติดต่อกันหลายวัน นอกจากนี้ การที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น รวมทั้งกระแสคาดการณ์ที่ว่า เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะไม่ส่งสัญญาณการใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 หรือ QE3 ในที่ประชุมธนาคารโลกวันศุกร์นี้ ก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับน้ำมันดิบด้วย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบได้รับปัจจัยลบมากขึ้นเมื่อสมาชิกบางคนของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) กล่าวว่า กลุ่มกบฎลิเบียกำลังเรียกร้องให้คนงานบริษัทน้ำมันกลับเข้าทำงานเพื่อเดินเครื่องการผลิตน้ำมันอีกครั้ง หลังจากที่กลุ่มกบฏสามารถยึดฐานที่มั่นของมูอัมมาร์ กัดดาฟีเอาไว้ได้ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะทำให้ลิเบียสามารถกลับมาส่งออกน้ำมันได้อีกในไม่ช้านี้ และจะทำให้อุปทานน้ำมันในตลาดปรับตัวสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงหนุนจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 19 ส.ค.ร่วงลง 2.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 351.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงเพียง 200,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 155.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 300,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 211.4 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.2% สู่ระดับ 90.3% สวนทางกับที่คาดว่าจะลดลง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐที่ระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน หรือสินค้าที่มีอายุการใช้งานนานกว่า 3 ปี พุ่งขึ้น 4% ในเดือนก.ค. มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2% เพราะได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของยอดสั่งซื้อเครื่องบินและรถยนต์