ภาวะการซื้อขายที่ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT เมื่อคืนที่ผ่านมา (28 ส.ค.) ราคาข้าวโพดและถั่วเหลืองปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะนักลงทุนคาดว่าสภาพอากาศที่แห้งแล้งในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐในสัปดาห์หน้าอาจทำให้ผลผลิตพืชลดลงอีก นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
สัญญาข้าวโพดส่งมอบเดือนธ.ค.เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.4% ปิดที่ 7.7 ดอลลาร์/บุชเชล ขณะที่สัญญาข้าวสาลีส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 2 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 7.95 ดอลลาร์/บุชเชล และสัญญาถั่วเหลืองส่งมอบเดือนพ.ย.พุ่ง 23.5 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 14.47 ดอลลาร์/บุชเชล
สมาคมวิชาชีพทางการเกษตรแห่งสหรัฐ ซึ่งทำการสำรวจข้าวโพดและถั่วเหลืองในเขตมิเวสต์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่า ผลผลิตข้าวโพดในปีนี้อาจอยู่ที่ 147.9 บุชเชลต่อเอเคอร์ เมื่อเทียบกับการประมาณการณ์ก่อนหน้านี้ของกระทรวงเกษตรหสรัฐที่ 153 บุชเชลต่อเอเคอร์
ข้อมูลจากรัฐบาลบ่งชี้ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาสูงกว่าระดับปกติถึง 8 องศาฟาห์เรนไฮต์ ส่งผลให้ภาวะแห้งแล้งแผ่ปกคลุมจากเขตเกรทเพลนส์ไปยังเขตมิดเวสต์
ในขณะที่เทรดเดอร์ปรับเพิ่มค่าพรีเมี่ยมความเสี่ยงของราคาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความวิตกกังวลว่าสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้งในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาอาจทำให้ผลผลิตลดลง ส่วนการพยากรณ์สภาพอากาศบ่งชี้ว่า หนึ่งในสามของพื้นที่เพาะปลูกในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐจะมีฝนตกน้อยกว่าระดับปกติในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า ยิ่งเพิ่มความวิตกกังวลว่าผลผลิตลดลงมากยิ่งขึ้น
ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางรายเชื่อว่า ราคาธัญพืชจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในวงจำกัด เนื่องจากผลผลิตที่เสียหายได้ถูกตีราคาไปเรียบร้อยแล้วและการพุ่งขึ้นของราคาเมื่อไม่นานมานี้อาจทำให้ผู้ซื้อหันไปซื้อข้าวสาลีเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์แทน
เทรดเดอร์รายหนึ่งกล่าวว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ CBOT ยังได้รับปัจจัยหนุนจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งของตลาดหุ้น หลังจากเบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดส่งสัญญาณว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม สำนักข่าวซินหัวรายงาน