สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (6 ก.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่าวิกฤตหนี้ยุโรปและภาวะซบเซาในตลาดแรงงานของสหรัฐอาจทำให้ความต้องการพลังงานลดน้อยลงด้วย อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากตลาดได้แรงหนุนในระหว่างวันหลังจากสหรัฐเปิดเผยดัชนีภาคบริการที่ขยายตัวได้ดีเกินคาดในเดือนส.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ลดลง 43 เซนต์ หรือ 0.50% ปิดที่ 86.02 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 83.20-86.50 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.81 ดอลลาร์ ปิดที่ 112.89 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 109.85-113.36 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า วิกฤตหนี้ยุโรปอาจลุกลามเข้าไปสร้างความเสียหายต่อภาคธนาคาร ซึ่งความกังวลในเรื่องดังกล่าวได้ฉุดตลาดหุ้นนิวยอร์กและตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงด้วย นอกจากนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะทุเลาลงจนถึงขณะนี้ ยังทำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นว่าธนาคารกลางยุโรป (อียู) จะสามารถควบคุมปัญหาดังกล่าวได้
ตลาดได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อนักลงทุนมองว่า ภาวะซบเซาในตลาดแรงงานของสหรัฐอาจทำให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรหยุดชะงักในเดือนส.ค. โดยไม่มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก.ค. ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 75,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราว่างงานเดือนส.ค.อยู่ที่ระดับ 9.1% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก.ค.
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้แรงหนุนในระหว่างวัน หลังจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.ขยายตัวที่ระดับ 53.3 จุด เพิ่มขึ้นจากเดือนก.ค.ที่ขยายตัว 52.7 จุด และมากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยายตัวที่ระดับ 51.0 จุด
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากรายงานของศูนย์เฮอริเคนแห่งชาติของสหรัฐที่ระบุว่า หย่อมความกดอากาศต่ำซึ่งเกิดขึ้นห่างจากหมู่เกาะเคปเวิร์ดไปทางทิศตะวันตก-ตะวันตกเฉียงใต้ราว 725 ไมล์นั้น ทำให้มีโอกาส 90% ที่เกิดพายุหมุนในอีก 48 ชั่วโมงข้างหน้า
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพฤหัสบดีนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 600,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 2 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.8%