สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 ก.ย.) ขานรับข่าวที่ว่าบรรดาธนาคารกลางชั้นนำของโลก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ประกาศว่าจะร่วมมือกันกอบกู้วิกฤตภาคธนาคารของยุโรปด้วยการจัดหาเงินกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากภาวะการซื้อขายในตลาดได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ รวมถึงข้อมูลในภาคการผลิต
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนต.ค.ขยับขึ้น 49 เซนต์ หรือ 0.55% ปิดที่ 89.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนต.ค.พุ่งขึ้น 2.94 ดอลลาร์ หรือ 2.62% ปิดที่ 115.34 ดอลลาร์/บาร์เรล
ตลาดน้ำมัน NYMEX ได้แรงหนุนหลังจากคณะกรรมการบริหารของอีซีบีประกาศว่า อีซีบีจะอัดฉีดสภาพคล่องในรูปสกุลเงินดอลลาร์เข้าสู่ภาคธนาคารของยุโรป ด้วยการปล่อยเงินกู้ให้กับธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนเป็นเวลา 3 เดือนจนถึงช่วงปลายปีนี้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวเป็นความร่วมมือระหว่าง อีซีบี, ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), ธนาคารกลางอังกฤษ,ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีเป้าหมายที่จะป้องกันไม่ให้ภาคธนาคารของยูโรโซนตกอยู่ในสภาวะตึงตัว อันเนื่องมาจากวิกฤติหนี้ยุโรป สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ข่าวความเคลื่อนไหวของธนาคารกลางทั้ง 5 ช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตหนี้ยุโรป ซึ่งความวิตกในเรื่องดังกล่าวได้สร้างแรงกดดันให้กับตลาดน้ำมันในช่วงก่อนหน้านี้ด้วย
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และข้อมูลของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ระบุว่าการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.ของสหรัฐขยายตัวขึ้น 0.2% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะขยับขึ้นเพียง 0.1% เพราะได้แรงหนุนจากยอดการผลิตสินค้าคงทนเพื่อผู้บริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้น 1.3% และยอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 2.6%
ตลาดได้รับแรงหนุนเพิ่มขึ้นเมื่อโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 130 ดอลลาร์/บาร์เรลในระยะเวลา 12 เดือนนับจากนี้ แม้เศรษฐกิจทั่วโลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นไม่มากนักเนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันในระหว่างวันหลังจากผลการสำรวจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กบ่งชี้ว่า ดัชนีกิจกรรมด้านการผลิตในรัฐนิวยอร์ก (Empire State Index) หดตัวลงสู่ระดับ -8.82 ในเดือนก.ย. จากระดับ -7.72 จุดของเดือนส.ค. ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ -4.0 จุด