สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของวิกฤตหนี้ยุโรป หลังจากมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุโรปกำลังหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF)
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ดีดตัวขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.49% ปิดที่ 80.24 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 77.11-81.29 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนพ.ย.ขยับลง 3 เซนต์ ปิดที่ 103.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐช่วยหนุสัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ดีดตัวขึ้นเกือบ 0.5% และจากรายงานที่ว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยุโรปกำลังหารือกันเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดของกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) โดยมีการคาดการณ์ว่า รัฐบาลของประเทศสมาชิกยูโรโซนจะอนุมัติการมอบอำนาจใหม่และการเพิ่มขนาดของกองทุน EFSF ภายในช่วงกลางเดือนต.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวในกรอบแคบๆ ท่ามกลางภาวะการซื้อขายที่ซบเซา เนื่องจากนักลงทุนตระหนักว่าการอนุมัติในเรื่องดังกล่าวจะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาเยอรมนี ซึ่งที่ผ่านมานั้นเยอรมนีได้แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มขนาดกองทุน EFSF
ตลาดน้ำมัน NYMEX ได้รับแรงกดดันในระหว่างวันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค.ร่วงลง 2.3% มาอยู่ที่ระดับ 295,000 ยูนิตต่อปี จากเดือนก.ค.ที่ระดับ 302,000 ยูนิตต่อปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความอ่อนแอของภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงฉุดรั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานที่ว่าบริษัทเอนิของอิตาลีเริ่มดำเนินการผลิตน้ำมันในบ่อน้ำมัน 15 แห่งในแหล่งน้ำมันอาบูอัตติเฟลของลิเบียแล้ว หลังจากที่บริษัทได้หยุดการผลิตมาเป็นเวลานานเนื่องจากสงครามกลางเมืองในลิเบีย โดยขณะนี้เอนิสามารถผลิตน้ำมันในปริมาณ 31,900 บาร์เรล/วัน แม้ยังน้อยกว่าปริมาณการผลิตที่ 70,000 บาร์เรล/วันในช่วงก่อนเกิดสงครามกลางเมืองในลิเบีย
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย.นี้ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 200,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 600,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล นอกจากนี้คาดว่า อัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.8%