สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (28 ก.ย.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเกินคาดในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจจะทำให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดน้ำมัน NYMEX ยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับศักยภาพในการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 3.24 ดอลลาร์ หรือ 3.84% ปิดที่ 81.21 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 81.11-84.62 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ร่วงลง 3.33 ดอลลาร์ หรือ 3.11% ปิดที่ 103.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 103.23-107.41 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะซบเซาของอุปสงค์พลังงาน หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 23 ก.ย.พุ่งขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 341.0 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลง 200,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล สู่ระดับ 157.7 ล้านบาร์เรล แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 600,000 บาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล สู่ระดับ 214.9 ล้านบาร์เรล น้อกว่าที่คาดว่าจะพุ่งขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 0.5% สู่ระดับ 87.8% น้อยกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 0.8%
ขณะเดียวกัน ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแผนการให้ความช่วยเหลือกรีซครั้งใหม่ และแนวทางการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป หลังจากมีรายงานว่าผู้นำของหลายประเทศในยุโรปมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเพิ่มขนาดกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF)
นอกจากนี้ ตลาดน้ำมัน NYMEX ยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานที่ว่า ลิเบียมีความคืบหน้าอย่างมากในการฟื้นฟูการผลิตน้ำมันภายในประเทศ ขณะที่เจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ผลผลิตน้ำมันของลิเบียจะอยู่ที่รดับ 300,000 บาร์เรล/วันภายในเดือนธ.ค.ปีนี้ เนื่องจากการผลิตที่บ่อน้ำมันหลายแห่งทางฝั่งตะวันออกของประเทศมีความคืบหน้ามากกว่าที่คาดการณ์ไว้