สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (29 ก.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวรัฐสภาเยอรมนีลงมติอนุติการเพิ่มขนาดกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF) และข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใสของสหรัฐ อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด หลังจากซิตี้กรุ๊ปปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลก
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.15% ปิดที่ 82.14 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 79.64-83.98 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ขยับขึ้น 14 เซนต์ หรือ 0.1% ปิดที่ 103.95 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 102.35-105.82 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังจากรัฐสภาเยอรมนีมีมติด้วยคะแนนเสียง 523 ต่อ 85 ให้ขยายเงินทุนและประสิทธิภาพของกองทุน EFSF ซึ่งปัจจุบันมีวงเงินอยู่ 4.40 แสนล้านยูโร (5.99 แสนล้านดอลลาร์) โดยมติดังกล่วจะเปิดทางให้กองทุน EFSF เข้าไปลงทุนในตลาดหลัก, เพิ่มทุนให้กับภาคธนาคาร และมีศักยภาพเพิ่มขึ้นในการให้ความช่วยเหลือประเทศยูโรโซนที่ประสบปัญหาด้านการเงิน
นักลงทุนคาดหวังว่า การเพิ่มทุนให้กับกองทุน EFSF จะช่วยคลี่คลายปัญหาหนี้กรีซ และป้องกันการลุกลามของวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซนได้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐที่ระบุว่าจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 ก.ย. ลดลง 37,000 ราย สู่ระดับ 391,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 6 เดือน และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่วันที่ 6 ส.ค. 2554 ที่จำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 400,000 ราย
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายในตลาดน้ำมัน NYMEX ค่อนข้างซบเซา เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากซิตี้กรุ๊ปประกาศลดคาดการณ์เศรษฐกิจทั้งในปีนี้และปีหน้า โดยระบุว่า "เศรษฐกิจโลกยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างรวดเร็ว"
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ลง 30 ดอลลาร์ มาอยู่ที่ระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลสำหรับปี 2555 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และลิเบียสามารถผลิตน้ำมันได้มากขึ้น