สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกแตะที่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 1 เดือนเมื่อคืนนี้ (14 ต.ค.) โดยได้รับแรงหนุนจากยอดค้าปลีกสหรัฐที่ขยายตัวเกินคาด ซึ่งช่วยคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย รวมถึงจากข่าวที่ว่ากลุ่มจี20 อาจเสนอแผนใหม่ในการรับมือวิกฤตหนี้ยุโรป
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับเพิ่มขึ้น 2.57 ดอลลาร์ หรือ 3.05% ปิดที่ 86.80 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน สำหรับทั้งสัปดาห์สัญญาปรับเพิ่มขึ้น 3.82 ดอลลาร์ หรือ 4.60%
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนพ.ย.ทะยาน 3.57 ดอลลาร์ หรือ 3.21% ปิดที่ 114.68 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับทั้งสัปดาห์สัญญาขยายตัว 8.8 ดอลลาร์ หรือ 8.3% นับว่าขยายตัวมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ยอดค้าปลีกสหรัฐขยายตัว 1.1% ในเดือนกันยายน เหนือกว่าระดับ 0.3% ในเดือนสิงหาคม และสูงกว่าที่คาดการณ์ว่าจะขยายตัวเพียง 0.7% นอกจากนั้นยังขยายตัวมากที่สุดในรอบ 7 เดือน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยคลายความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวและเพิ่มความเชื่อมั่นในตลาด
อีกปัจจัยที่ช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบคือ รายงานข่าวที่ระบุว่ากลุ่มจี20 กำลังพิจารณาเรื่องการขยายความสามารถของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ในการปล่อยกู้ให้กับยุโรป เพื่อช่วยยับยั้งการลุกลามของวิกฤตหนี้สินในภูมิภาค ขณะเดียวกันฝรั่งเศสและเยอรมนีก็ตอกย้ำความร่วมมือในการแก้ปัญหาหนี้
นอกจากนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางก็หนุนราคาน้ำมันให้เพิ่มขึ้น โดยมีรายงานว่ามีการเปิดฉากยิงกันในเมืองหลวงตริโปลีของลิเบีย ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับซาอุดิอาระเบียตึงเครียดกว่าเดิม