สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (19 ต.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอย่างมากในรอบสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงของสหรัฐกำลังฉุดรั้งอุปสงค์พลังงานให้หดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ย.ปรับตัวลง 2.23 ดอลลาร์ หรือ 2.52% ปิดที่ 86.11 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 2.76 ดอลลาร์ หรือ 2.5% ปิดที่ 108.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 14 ต.ค.ร่วงลง 4.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 332.9 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 1.9 ล้านบาร์เรล
ส่วนสต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 4.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 149.7 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.4 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 3.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 206.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลง 900,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันดิ่งลง 1.1% สู่ระดับ 83.1%
ตลาดได้รับแรงกดดันจากรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือ Beige Book ที่ระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจชะลอตัวลงในเกือบทุกภูมิภาค นอกจากนี้ คาดว่าแนวโน้มของเศรษฐกิจและภาคธุรกิจในเกือบทุกภูมิภาคจะซบเซาลงอีกในระยะใกล้นี้
นอกจากนี้ บรรยากาศการซื้อขายในตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับผลกระทบจากการที่มูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิส ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือของสเปนลง 2 ขั้น และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขวิกฤตหนี้ยุโรป
นักลงทุนจับตาดูการประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 23 ต.ค.นี้ที่กรุงบรัสเซลส์ โดยที่ประชุมจะหารือกันเกี่ยวกับสถานการณ์ของกรีซ และคาดว่าจะมีการตกลงกันเกี่ยวกับรูปแบบการเพิ่มประสิทธิภาพของกองทุน EFSF