สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (24 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนมีมุมมองในด้านบวกว่าผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) จะสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการหาแนวทางควบคุมวิกฤตหนี้สาธารณะในการประชุมรอบสองซึ่งจะมีขึ้นในวันพุธนี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานที่ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของจีนขยายตัวในเดือนต.ค. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวช่วยหนุนสัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 3.87 ดอลลาร์ หรือ 4.43% ปิดที่ 91.27 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 87.00-91.88 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนธ.ค.พุ่งขึ้น 1.89 ดอลลาร์ หรือ 1.73% ปิดที่ 111.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 109.32-111.60 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเอชเอสบีซีรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ในภาคการผลิตของจีนขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 51.1 จุดในเดือนต.ค. จากเดือนก.ย.ที่ระดับ 49.9 จุด และทางการญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดการนำเข้าเดือนก.ย.ขยายตัว 12.1% สู่ระดับ 34.4771 ล้านล้านเยน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจจีนและญี่ปุ่นยังคงมีแนวโน้มที่ดีและจะช่วยหนุนอุปสงค์พลังงานดีดตัวขึ้นด้วย
ตลาดได้รับแรงหนุนมากขึ้นเมื่อนักลงทุนคาดว่า ผู้นำอียูจะสามารถสรุปการตัดสินใจเรื่องการเพิ่มทุนให้กับธนาคารพาณิชย์ในยูโรโซนและการเพิ่มขนาดของกองทุน EFSF ในการประชุมรอบสองซึ่งจะมีขึ้นในวันพุธนี้ แม้ผู้นำอียูยังคงมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากเกี่ยวกับขนาดของความเสี่ยงที่ผู้ถือพันธบัตรรัฐบาลกรีซจะต้องแบกรับก็ตาม
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากสกุลเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ซึ่งทำให้สัญญาน้ำมันดิบมีราคาถูกลงและน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อน้ำมันประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 2.3 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.3%