สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (26 ต.ค.) หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของรัฐบาลสหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นเกินคาด ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจอาจทำให้ความต้องการพลังงานของสหรัฐหดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 2.97 ดอลลาร์ หรือ 3.19% ปิดที่ 90.20 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือนธ.ค.ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนร่วงลง 2.01 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ร่วงลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) รายงานว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ต.ค.พุ่งขึ้น 4.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 337.6 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 2 ล้านบาร์เรล ซึ่งข้อมูลดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐกำลังทำให้ความต้องการพลังงานภายในประเทศหดตัวลงด้วย
ขณะเดียวกัน EIA รายงานว่า สต็อกน้ำมันกลั่นร่วงลง 4.3 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 145.5 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 2.3 บาร์เรล และ สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 204.9 ล้านบาร์เรล แต่ยังน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 1.6 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 1.7% สู่ระดับ 84.8%
รายงานสต็อกน้ำมันของ EIA ออกมาสอดคล้องกับที่ การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) รายงานว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 ต.ค.เพิ่มขึ้น 2.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นลดลง 1.8 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 153,000 บาร์เรล
นักลงทุนจับตาดูการประชุมผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) ที่กรุงบรัสเซลส์ ซึ่งแม้จะมีรายงานว่าผู้นำอียูตกลงกันว่าจะดันธนาคารพาณิชย์ให้เพิ่มทุนมากขึ้นภายในเดือนมิ.ย.ปีหน้า เพื่อป้องกันการขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้กรีซ แต่ผู้นำอียูยังคงมีความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันอย่างมากในเรื่องการเพิ่มทุนให้กับกองทุนรักษาเสถียรภาพการเงินยุโรป (EFSF)