สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (1 พ.ย.) เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการแก้ไขปัญหาหนี้กรีซ หลังจากนายกรัฐมนตรีกรีซประกาศว่าจะจัดทำประชามติเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนตัดสินใจว่าจะยอมรับข้อตกลงการกู้วิกฤตหนี้ของประเทศหรือไม่ นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานภาคการผลิตที่ชะลอตัวลงทั้งในสหรัฐและอังกฤษ
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 1 ดอลลาร์ หรือ 1.07% ปิดที่ 92.19 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 2 เซนต์ ปิดที่ 109.54 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายวงานว่า กระแสความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ยุโรปทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้งเมื่อนายจอร์จ ปาปันเดรอู นายกรัฐมนตรีกรีซประกาศว่า รัฐบาลกรีซจะจัดการทำประชามติเพื่อให้ประชาชนมีส่วนตัดสินใจว่าจะยอมรับข้อตกลงในมาตรการแก้ไขวิกฤติหนี้ยูโรโซนที่กรีซทำกับกลุ่มประเทศและองค์กรเจ้าหนี้ในสัปดาห์ที่แล้วหรือไม่ ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมถึงการให้ความช่วยเหลือทางการเงินรอบ 2 สำหรับกรีซในวงเงิน 1.30 แสนล้านยูโร และการปรับลดมูลค่าพันธบัตรรัฐบาลกรีซลง 50%
ข่าวการทำประชามติของกรีซได้หนุนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น และยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ฉุดสัญญาน้ำมันดิบร่วงลงด้วย โดยดัชนีดอลลาร์ (Dollar Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับ 6 สกุลเงินที่เป็นคู่ค้าหลักของสหรัฐ พุ่งขึ้น 1.07% แตะที่ 92.19 จุดเมื่อวานนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากรายงานภาคการผลิตที่ชะลอตัวลงของสหรัฐและอังกฤษ โดยสถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตเดือนต.ค.ขยายตัวที่ระดับ 50.8 จุด แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก.ย.ที่สามารถขยายตัว 51.6 จุด ขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของอังกฤษร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 28 เดือน
นักลงทุนยังคงจับตาดูผลกระทบของเอ็มเอฟ โกลบอล โฮลดิ้งส์ ที่ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์สินจากการล้มละลายตามกฎหมายมาตรา 11 แห่งราชอาณาจักรสหรัฐ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย และส่งผลให้วอลุ่มการซื้อขายในตลาดน้ำมัน NYMEX เบาบางลงด้วย
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐ ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 500,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.1%