สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 พ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าปัญหาหนี้สินของสหรัฐและยุโรปอาจจะฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกและจะทำให้ความต้องการพลังงานหดตัวลงด้วย
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 75 เซนต์ หรือ 0.77% ปิดที่ 96.92 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 97.86 - 95.24 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนปรับตัวลง 68 เซนต์ หรือ 0.63% ปิดที่ 106.88 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ของสหรัฐ โดยมีการคาดการณ์ว่า คณะกรรมการร่วมระหว่างสองพรรคการเมืองของสหรัฐ หรือ Super Committee อาจจะไม่สามารถตกลงกันในเรื่องดังกล่าวได้เกี่ยวกับการปรับลดยอดขาดดุลงบประมาณลงให้ได้ประมาณ 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในระยะเวลา 10 ปี ก่อนกำหนดเส้นตายวันพุธนี้
ตลาดได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการลุกลามของปัญหาหนี้ยุโรป หลังจากมูดีส์ อินเวสเตอร์ส เซอร์วิสเตือนว่า อันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสอาจจะได้รับผลกระทบในด้านลบ หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้นและภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่อ่อนแอ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดความวิตกกังวลมากขึ้นว่าวิกฤตหนี้ยุโรปอาจจะลุกลามเป็นวงกว้าง
นอกจากนี้ การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลสเปน อิตาลี ฝรั่งเศส และเบลเยียม ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อวานนี้ ยังสร้างความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นในตลาด และกระตุ้นให้นักลงทุนแห่เข้าไปถือครองพันธบัตรของเยอรมนีเป็นจำนวนมาก
นักวิเคราะห์หลายคนคาดว่า เศรษฐกิจทั่วโลกจะชะลอตัวลงในปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันดิบและฉุดราคาน้ำมันดิบร่วงลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนในระหว่างวันจากสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง รวมถึงความตึงเครียดเกี่ยวกับความขัดแย้งด้านโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และเหตุการณ์ความไม่สงบในอียิปต์และซีเรีย
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 18 พ.ย. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในวันพุธนี้ โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 500,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะลดลง 1.5 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะเพิ่มขึ้น 0.5%