สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (30 พ.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าว 6 ธนาคารกลางชั้นนำของโลกที่พร้อมใจกันใช้มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน เพื่อบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาด อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในกรอบที่จำกัด เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปสงค์พลังงานซบเซา หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วพุ่งขึ้นเกินคาด
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ปิดบวก 57 เซนต์ หรือ 0.57% แตะที่ 100.36 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 16 พ.ย.
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ลดลง 30 เซนต์ หรือ 0.27% ปิดที่ 110.52 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นมายืนที่เหนือระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) พร้อมด้วยธนาคารกลางยุโรป ธนาคารกลางอังกฤษ ธนาคารกลางแคนาดา ธนาคารกลางญี่ปุ่น และธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยสว็อปดัชนีข้ามคืน (OIS) ลง 0.5% โดยมีเป้าหมายที่จะบรรเทาภาวะตึงตัวในตลาดการเงิน และจะช่วยให้ธนาคารนอกสหรัฐสามารถระดมทุนดอลลาร์ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของ ADP Employer Services ที่ระบุว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 206,000 ตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นอัตราการจ้างงานที่มากที่สุดในปีนี้ และจากรายงานที่ว่าธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR) ลงอีก 0.5% เพื่อผ่อนคลายภาวะสินเชื่อตึงตัวและเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบปรับตัวลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากตลาดได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) ที่ระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 25 พ.ย. พุ่งขึ้น 3.93 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 334.75 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นพุ่งขึ้น 5.53 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 138.49 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 1.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินปรับขึ้น 213,000 บาร์เรล สู่ระดับ 209.85 ล้านบาร์เรล แต่ยังน้อยกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1 ล้านบาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันลดลง 0.9% สู่ระดับ 84.6%