สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดดีดตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ (2 ธ.ค.) หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยอัตราว่างงานเดือนพ.ย.ที่ร่วงลงเกินคาดสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองปีครึ่ง นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและประเทศตะวันตกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่าการส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลางอาจหยุดชะงัก
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.เพิ่มขึ้น 76 เซนต์ หรือ 0.76% ปิดที่ 100.96 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 99.76 - 101.56 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.ปรับตัวขึ้น 95 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 109.94 ดอลลาร์/บาร์เรล
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า อัตราว่างงานเดือนพ.ย.ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่าสองปีครึ่งที่ 8.6% จากระดับ 9% ในเดือนต.ค. ขณะที่ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนพ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 120,000 ตำแหน่ง หลังจากที่เพิ่มขึ้น 100,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลล่าสุดนี้บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐกำลังค่อยๆปรับตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ทั้งนี้ อัตราว่างงานเดือนพ.ย.ถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่วิกฤตการเงินทวีความรุนแรงสูงสุด และดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่าอัตราว่างงานจะทรงตัวที่ 9% ขณะที่ตัวเลขจ้างงานเดือนที่แล้วสอดคล้องกับการคาดการณ์
ด้านสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่านและประเทศตะวันตกก็ทวีความรุนแรงขึ้น
โดยสัญญาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นกว่า 4% ในสัปดาห์นี้ ในขณะที่รัฐบาลประเทศยุโรป รวมถึงสหรัฐประกาศมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดมากขึ้นต่ออิหร่าน ซึ่งเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของโอเปค เพื่อตอบโต้ที่อิหร่านดำเนินโครงการนิวเคลียร์
วุฒิสภาสหรัฐมีมติเอกฉันท์ให้คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่ออิหร่านในระดับที่รุนแรงมากขึ้น พร้อมกับยืนยันว่าจะใช้บทลงโทษสถาบันการเงินต่างชาติที่ทำธุรกรรมกับธนาคารกลางอิหร่าน
ด้านรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ถึงแม้ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเรื่องการห้ามซื้อขายน้ำมันกับอิหร่านได้ เพราะมีบางประเทศคัดค้าน แต่ที่ประชุมก็ได้เห็นพ้องกันในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีว่าจะพิจารณามาตรการต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคการเงิน การขนส่ง และพลังงานของอิหร่าน รวมทั้งตกลงใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรกับบุคคลและบริษัทอีก 180 ราย ส่งผลให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการผลิตและอุปทานน้ำมัน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาหนี้สาธารณะยังคงส่งผลกดดันตลาดและจำกัดช่วงขาขึ้นของราคา โดยตลาดกำลังจับตาการประชุมสุดยอดผู้นำยุโรปในวันที่ 9 ธันวาคมนี้