สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (7 ธ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานที่อาจจะมีอยู่มากเกินไปในตลาด หลังจากซาอุดิอาระเบียเพิ่มการผลิตน้ำมันและยืนยันว่าจะเพิ่มการผลิตอีกเพื่อรองรับความต้องการที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้รับแรงกดดันจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่พุ่งขึ้นในรอบสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.ปิดลบ 79 เซนต์ หรือ 0.78% แตะที่ 100.49 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 99.67-101.94 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 1.28 ดอลลาร์ ปิดที่ 109.53 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 109.00-111.49 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ปรับตัวลงหลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของสหรัฐ (EIA) เปิดเผยเมื่อช่วงค่ำวานนี้ตามเวลาไทยว่า สต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 2 ธ.ค.พุ่งขึ้น 1.34 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 336.08 ล้านบาร์เรล ตรงข้ามกับที่นักลงทุนคาดว่าจะลดลง 600,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นพุ่งขึ้น 2.53 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 141.02 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันเบนซินพุ่งขึ้น 5.15 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 214.99 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 700,000 บาร์เรล ส่วนอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 3.1% แตะที่ 87.7%
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ยังร่วงลงหลังจากซาอุดิอาระเบียได้แสดงความตั้งใจที่ประเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการที่สูงขึ้น ก่อนที่การประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) จะมีขึ้นในวันที่ 14 ธ.ค.นี้ ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
การประกาศเจตนารมณ์ที่จะเพิ่มปริมาณการผลิตของซาอุดิอาระเบียมีขึ้นหลังจากกระทรวงพลังงานสหรัฐเปิดเผยในรายงานแนวโน้มพลังงานระยะสั้น (Short-Term Energy Outlook) ว่า กำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียในเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 9.4 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี
นายอาลี อัล-ไนมิ รมว.พลังงานกล่าวว่า ซาอุดิอาระเบียจะยังคงเพิ่มปริมาณการผลิตในเดือนธ.ค. หากความต้องการน้ำมันยังคงอยู่ในระดับที่เท่ากับเดือนพ.ย.
นอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ตลาดน้ำมันดิบ NYMEX ยังได้รับแรงกดดันจากการที่นักลงทุนกังวลว่า ที่ประชุมสุดยอดผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) อาจจะไม่สามารถหาแนวทางแก้ไขวิกฤตหนี้ได้