สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) เพราะได้แรงหนุนจากข่าวที่ว่า อิหร่านจะปิดช่องทางลำเลียงน้ำมันที่ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าอาจจะเกิดภาวะตึงตัวในตลาดน้ำมันโลก ซึ่งจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นอีกในระยะใกล้นี้ นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันนิวยอร์กยังได้ปัจจัยบวกจากการที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่แล้วของสหรัฐจะลดลง
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 2.37 ดอลลาร์ หรือ 2.42% แตะที่ 100.14 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 97.64-101.25 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนม.ค.พุ่งขึ้น 2.24 ดอลลาร์ หรือ 2.09% ปิดที่ 109.50 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 107.07-111.10 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังจากสมาชิกคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งชาติในรัฐสภาอิหร่านเปิดเผยว่า อิหร่านจะปิดเส้นทางลำเลียงน้ำมันที่ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมสำคัญที่เรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่จะบรรทุกน้ำมันดิบจากอ่าวเปอร์เซียเพื่อนำไปส่งยังทั่วทุกมุมโลก
ทั้งนี้ แม้กระทรวงการต่างประเทศของอิหร่านออกมาปฏิเสธรายงานข่าวดังกล่าว แต่นักลงทุนก็ยังคงให้น้ำหนักกับข่าวนี้ และคาดการณ์ว่า การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะส่งผลให้เกิดภาวะติดขัดด้านการลำเลียงน้ำมัน ซึ่งจะหนุนราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกพุ่งขึ้นอีกในระยะใกล้นี้
นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 900,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 1.5 ล้านบาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะลดลง 0.3%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ในคืนนี้ตามเวลาไทยเช่นกัน โดยมีการคาดการณ์ว่ารัฐมนตรีพลังงานกลุ่มโอเปคจะกำหนดปริมาณการผลิตน้ำมันไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน โดยมีเป้าหมายที่จะลดความขัดแย้งภายในกลุ่มโอเปค หลังจากสมาชิกโอเปคไม่สามารถตกลงกันได้ในการประชุมครั้งหลังสุดเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา