สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (22 ธ.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ หลังจากมีรายงานว่าเกิดเหตุลอบวางระเบิดที่กรุงแบกแดดของอิรัก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 50 คน และข่าวอิหร่านส่งกองกำลังทหารเข้าไปทำการซ้อมรบที่ช่องแคบฮอร์มุซ สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดคาดการณ์ว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้นใน 2 ประเทศผู้ผลิตน้ำมันเหล่านี้อาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานพลังงาน และจะช่วยหนุนราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นอีก
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.บวก 86 เซนต์ หรือ 0.87% ปิดที่ 99.53 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 100.05 - 98.51 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 12 เซนต์ ปิดที่ 107.83 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบได้แรงหนุนจากสถานการณ์ความไม่สงบในอิหร่านและอิรัก โดยมีรายงานว่า เกิดเหตุลอบวางระเบิดในกรุงแบกแดด ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 57 คน ซึ่งเป็นเหตุการณ์โจมตีกรุงแบกแดดครั้งแรกนับตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลซึ่งนับถือนิกายชีอะห์ และกลุ่มมุสลิมนิกายสุหนี่ ได้คลี่คลายลงหลังจากสหรัฐถอนกำลังทหารออกจากอิรัก
ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในอิรักทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการลำเลียงน้ำมันภายในประเทศ โดย ณ เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา อิรักสามารถผลิตน้ำมันดิบได้ 2.67 ล้านบาร์เรล/วัน
ส่วนสถานการณ์ในอิหร่านนั้น มีรายงานว่านาวิกโยธินของอิหร่านได้ปฏิบัติการซ้อมรบในพื้นที่ฝั่งตะวันออกของช่องแคบฮอร์มุซเป็นเวลา 10 วัน และคาดว่าปฏิบัติการซ้อมรบในครั้งนี้อาจจะตีวงกว้างไปถึงมหาสทุรอินเดีย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า อิหร่านอาจจะปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมที่เรือขนส่งน้ำมันขนาดใหญ่จะบรรทุกน้ำมันดิบจากอ่าวเปอร์เซียเพื่อนำไปส่งยังทั่วทุกมุมโลก
นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ยังได้แรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 17 ธ.ค. ลดลง 4,000 ราย มาอยู่ที่ระดับ 364,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2551 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคช่วงปลายเดือนธ.ค.ของสหรัฐเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 69.9 จุด ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือน