สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (12 ม.ค.) โดยน้ำมันดิบดิ่งลงต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์/บาร์เรลเป็นครั้งแรกในปีนี้ หลังจากมีรายงานว่าสหภาพยุโรป (อียู) อาจจะเลื่อนการใช้มาตรการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่าน นอกจากนี้ สัญญาน้ำมันดิบยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐ รวมถึงยอดค้าปลีกที่ขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในเดือนธ.ค.
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 1.77 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 99.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 102.98 - 98.50 ดอลลาร์
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 98 เซนต์ หรือ 0.9% ปิดที่ 111.26 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ร่วงลงหลังจากมีรายงานว่า หลายประเทศในกลุ่มอียูได้เลื่อนการตัดสินใจคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันอิหร่าน เพราะเกรงว่าจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซนที่กำลังเผชิญกับวิกฤตหนี้อยู่ในขณะนี้
นอกจากนี้มีรายงานว่า หลายประเทศในกลุ่มอียูได้รับการส่งมอบน้ำมันดิบที่ส่งออกจากอิหร่านในสัดส่วน 18% ซึ่งอิตาลี สเปน และกรีซ มียอดการส่งมอบน้ำมันดิบสูงสุด
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX ได้รับแรงกดดันมากขึ้นเมื่อสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ รวมถึงยอดค้าปลีกเดือนธ.ค.ขยับขึ้นเพียง 0.1% น้อยกว่าเดือนพ.ย.ที่ขยายตัว 0.4% ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 ม.ค. เพิ่มขึ้น 24,000 ราย แตะ 399,000 ราย ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 375,000 ราย
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ก่อนที่สัญญาน้ำมัน NYMEX จะร่วงลงอันเนื่องมาจากข่าวดังกล่าวนั้น สัญญาน้ำมัน NYMEX ได้เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวก เนื่องจากการคาดการณ์ที่ว่า เหตุการณ์ประท้วงในไนจีเรียและการคว่ำบาตรอิหร่านเพื่อตอบโต้โครงการนิวเคลียร์นั้น จะส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบหดตัวลง
สหภาพแรงงานไนจีเรียได้เริ่มปิดแท่นขุดเจาะน้ำมันของบริษัทผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่สุดในแอฟริกา เพื่อบีบให้ประธานาธิบดีกู๊ดลัค โจนาธาน อนุมัติให้มีการจ่ายเงินอุดหนุนราคาน้ำมันอีกครั้ง หลังจากการยกเลิกการจ่ายเงินดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันภายในประเทศพุ่งขึ้นสองเท่า