สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ม.ค.) หลังจากรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของชาติสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) มีมติห้ามนำเข้าน้ำมันจากอิหร่าน เพื่อตอบโต้อิหร่านที่ดำเนินโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งข่าวดังกล่าวทำให้เกิดการคาดการณ์ว่าอาจทำให้ภาวะอุปทานตึงตัวและจะช่วยหนุนราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก
สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมี.ค.พุ่งขึ้น 1.25 ดอลลาร์ หรือ 1.3% ปิดที่ระดับ 99.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 100.24 - 97.40 ดอลลาร์
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมี.ค.ปิดที่ 110.58 ดอลลาร์/บาร์เรล บวก 72 เซนต์ หรือ 0.66% หลังจากเคลื่อนตัวในช่วง 109.23 - 111.36 ดอลลาร์
สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบที่ตลาด NYMEX พุ่งขึ้นขานรับข่าวที่ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศของชาติสมาชิกอียูมีมติห้ามนำเข้าน้ำมันจากอิหร่านอย่างเป็นทางการแล้วในการประชุมที่กรุงบรัสเซลส์เมื่อวานนี้ เพื่อตอบโต้อิหร่านที่ดำเนินโครงการนิวเคลียร์ ซึ่งมติดังกล่าวกำหนดว่ารัฐบาลอียูต้องยุติการทำสัญญาฉบับใหม่กับอิหร่านทันทีที่คำสั่งห้ามมีผลบังคับใช้ ซึ่งน่าจะเป็นอย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์นี้ ขณะที่สัญญาฉบับปัจจุบันอนุญาตให้ใช้ได้จนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2555
นอกจากนี้ คาดว่ารัฐมนตรีของประเทศสมาชิกอียูจะเห็นพ้องเรื่องการใช้มาตรการที่มีความเข้มงวดเพิ่มมากขึ้นกับธนาคารกลางอิหร่าน ด้านนางแคทเธอรีน แอชตัน หัวหน้าฝ่ายนโยบายต่างประเทศของอียู กล่าวว่า การคว่ำบาตรเป็นหนทางที่จะโน้มน้าวอิหร่านให้ยอมตกลงร่วมเจรจากับนานาประเทศได้
ข่าวการคว่ำบาตรน้ำมันนำเข้าจากอิหร่านทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า อาจจะเกิดภาวะอุปทานพลังงานตึงตัวทั่วโลก เนื่องจากอิหร่านเคยขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือน้ำมันที่สำคัญของโลก หากชาติยุโรปคว่ำบาตรอิหร่าน
ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า ประเทศกลุ่มอียูนำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่านในปริมาณ 600,000 บาร์เรลต่อวัน คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 4 ของปริมาณการส่งออกน้ำมันโดยรวมของอิหร่านที่ 2.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน